โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจขนสุรารวม ๑๐๗ ขวดปริมาณ ๖๖ ลิตร ๘๗๕ เซ็นติลิตร โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานสรรพสามิตต์ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสุรา ๒๔๙๓ มาตรา๒๔,๓๘
จำเลยให้การว่า ได้ขนสุราตามฟ้องจริง เป็นสุราที่ขนจากร้านขายปลีกกลับคืนร้านขายส่งของจำเลย การขนนี้จำเลยไม่มีใบอนุญาตกำกับ แต่จำเลยอาศัยหนังสือของเจ้าพนักงานสรรพสามิตต์ที่อนุญาตให้จำเลยขนกลับได้ หนังสือนั้นอยู่ที่โจทก์
โจทก์ส่งหนังสือที่จำเลยอ้างต่อศาล และแถลงว่าเป็นหนังสือของจำเลยขออนุญาตรับสุราปรากฎตามหนังสือนั้นแล้วแต่ไม่ใช่หนังสือใบอนุญาตขนสุราตามแบบในกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ธาตุสำคัญของความผิดอยู่ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่เท่านั้น ส่วนใบอนุญาตจะออกภายหลังก็ได้จำเลยกระทำโดยสุจริต ไม่มีเจตนา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การขนสุราของจำเลย ไม่ใช่เป็นเรื่องลอบขน จึงไม่มีความผิด พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารที่จำเลยอ้างอิง ความจริงไม่ใช่การขออนุญาตขนสุราอย่างใดเลย หากเป็นเรื่องที่ผู้ขายส่งขอรับสุราจากร้านขายปลีกกลับคืนมายังร้านขายส่ง ส่วนกฎหมายมีข้อความชัดว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดทำการขนสุรา เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตขนสุรา และต้องนำใบอนุญาตขนสุรากำกับไปกับสุราที่ขนด้วย" เมื่อจำเลยทำการขนสุราโดยไม่มีใบอนุญาตขนสุรา หรือไม่นำใบอนุญาตขนสุรากำกับไปกับสุราที่ขนแล้ว จำเลยก็กระทำการฝ่าฝืนมาตรา ๑๔ อันจะต้องมีผิดตามมาตรา ๓๘ ที่ศาลชั้นต้นยกเอาธาตุสำคัญของความผิดโดยเห็นว่า ใบอนุญาตจะออกให้ภายหลังก็ใช้ได้ก็ดี หรือศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สั่งอนุญาตแล้ว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องลอบขน จำเลยไม่มีเจตนาทำผิดกฎหมายนั้นยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จึงพิพากษากลับว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนตามมาตรา ๑๔ อันเป็นความผิดตามมาตรา ๓๘ พ.ร.บ.สุรา ๒๔๙๓ ปรับจำเลยเป็นเงิน ๑๐๐ บาท