คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินตามสัดส่วนที่โจทก์ทั้งสามครอบครอง ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามนำที่ดินโฉนดเลขที่ 5519, 5520 และ 5523 ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ออกขายทอดตลาดเพื่อแบ่งเงินกัน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายที่ดินพิพาททั้งสามแปลงแก่บริษัทคอมพาน่าพาร์ควิวส์ จำกัด ผู้ร้องในราคา 183,000,000 บาท ตามรายงานการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี จำเลยที่ 2 ร้องคัดค้านขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ยกคำร้องคัดค้านดังกล่าว แต่หลังจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีกลับยกเลิกการขายทอดตลาดเพราะผู้ร้องไม่นำเงินค่าที่ดินอีก 173,850,000 บาท มาชำระภายในกำหนดเวลาทั้งที่ทราบคำสั่งแล้ว และประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาททั้งสามแปลงใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งให้ผู้ร้องนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระจำเลยที่ 2 คัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยกเลิกประกาศขายทอดตลาดใหม่และกำหนดเวลาให้ผู้ร้องชำระราคา ศาลชั้นต้นยกคำร้องคัดค้านของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อมาผู้ร้องบอกกล่าวเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสามแปลงแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี อ้างว่าการคัดค้านของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ผู้ร้องได้ตามสัญญา ทำให้ผู้ร้องขาดประโยชน์ที่พึงมีพึงได้จากการนำที่ดินไปพัฒนา และร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับคำบอกกล่าวเลิกสัญญา ศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่ยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่ผู้ร้องเป็นเพราะจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี มิใช่ความผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรม นายศิริ สามีของโจทก์ที่ 3 กับนายโสภณ นางเกศนี นางสาวลักขณา นางดวงดาว และนางชลลดา ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 3 ตามลำดับ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิที่จะขอให้ยกเลิกการขายที่ดินพิพาททั้งสามแปลง และให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้หรือไม่ เห็นว่า ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะการฝ่าฝืนนั้น อาจยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะเสียก็ได้ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง และวรรคสามบัญญัติไว้ แต่ตามกรณีคำร้องของผู้ร้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมีเนื้อที่จำนวนมากถึง 296 ไร่เศษ เป็นเงินจำนวน 183,000,000 บาท เพื่อดำเนินการพัฒนาขายในทางธุรกิจ มิใช่เป็นการซื้อไปเพื่อการอยู่อาศัย และการซื้อขายจะเป็นผลสำเร็จก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันใดอันหนึ่ง ซึ่งแม้จะมิได้กำหนดไว้แน่นอน ก็ย่อมถือได้ว่าได้กำหนดไว้โดยปริยายว่า ภายในกำหนดระยะเวลาที่ดำเนินการขายทอดตลาดเท่านั้น หาใช่ต้องผูกพันไปจนกว่าศาลจะพิพากษาคดีที่จำเลยที่ 2 ร้องคัดค้านการขายทอดตลาดจะถึงที่สุดซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีไม่ เพราะจะเป็นการเสียหายต่อเศรษฐกิจ และมิใช่เจตนาของผู้ร้องซึ่งเป็นคู่สัญญา ดังนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายและส่งมอบที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่ผู้ร้องได้เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้คัดค้านการขายทอดตลาดมาโดยตลอด ทำให้แผนในการพัฒนาการลงทุนของผู้ร้องต้องขยายออกไป เป้าหมายตามแผนที่วางไว้ต้องเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำมากเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวลง ทำให้ภาวะล้นตลาดในอสังหาริมทรัพย์มีความรุนแรงขึ้น ประชาชนขาดความมั่นใจในภาวะการเงิน ความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ หากผู้ร้องต้องรอคอยในการที่จะพัฒนาที่ดินพิพาททั้งสามแปลงที่ได้จากการขายทอดตลาด เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่อาจทำได้และไม่เกิดผลให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ดังนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถชำระหนี้โดยการโอนที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่ผู้ร้องภายในเวลาอันสมควร ผู้ร้องจึงขอให้ยกเลิกการขายและให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ซึ่งมิได้เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 อันว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันหากการเนิ่นช้านั้นทำให้ที่ดินที่ซื้อขายมีราคาสูงขึ้น ก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ร้องซึ่งเพียงแต่วางมัดจำไว้เท่านั้น โดยยังไม่ต้องชำระราคาทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของการเสี่ยงในทางการค้า อีกทั้งหากผู้ร้องเห็นว่า บุคคลใดมีเจตนาไม่สุจริตจงใจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ชอบที่จะว่ากล่าวเรียกร้องเอาแก่บุคคลนั้นได้ ด้วยเหตุดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องในข้ออื่น ๆ อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผู้ร้องอ้างมาในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.