โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 86, 91, 135/1, 135/2, 135/3, 209 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 6, 55, 78 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) (3) วรรคหนึ่ง, 135/2 (2) ประกอบมาตรา 86, 135/3, 209 วรรคหนึ่ง (เดิม) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 55, 78 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุก 1 ปี ฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยสะสมอาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สินเพื่อก่อการร้าย จำคุก 2 ปี ฐานสนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์ทำประกอบวัตถุระเบิด จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย จำคุก 5 ปี รวมโทษคงจำคุก 9 ปี 4 เดือน และริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า มีคณะบุคคลหลายกลุ่มเป็นสมาชิกขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี ก่อความไม่สงบเพื่อแบ่งแยกดินแดนจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และพื้นที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ให้เป็นรัฐอิสระจากประเทศไทย โดยสมคบกันเพื่อกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ปกปิดวิธีดำเนินการ ทำการสะสมกำลังพลและอาวุธ ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่า พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดระเบิด วางเพลิงเผาทรัพย์ของทางราชการและประชาชนทั่วไป ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ได้มีคนร้ายนำรถจักรยานยนต์ที่ซุกซ่อนวัตถุระเบิดไว้ไปจอดที่บริเวณสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ และที่บริเวณลานจอดรถหน้าร้านสวัสดิการภายในสถานีตำรวจภูธรสะเดา จากนั้นทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และในช่วงเวลาเดียวกันได้มีคนร้ายได้ใช้รถกระบะ หมายเลขทะเบียน บว 5164 นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นรถกระบะที่คนร้ายปล้นและฆ่าเจ้าของทรัพย์ไปจอดไว้ข้างโรงแรมโอลิเวอร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา แล้วทำให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ตามวัตถุประสงค์ของตนเอง กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นกลุ่มของนายอับดุลเลาะ โดยมีนายอับดุลอาซิ เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์คันก่อเหตุระเบิดที่สถานีตำรวจภูธรสะเดา พบซิมการ์ดหมายเลข 09 3xxx x735 และ 09 3xxx x752 ที่คนร้ายใช้ในการจุดระเบิดในที่เกิดเหตุบริเวณหน้าร้านสวัสดิการสถานีตำรวจภูธรสะเดา ส่วนที่เกิดเหตุบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์พบซิมการ์ดหมายเลข 09 3xxx x739 ที่คนร้ายใช้ในการจุดระเบิด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่นั้น แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นขณะจำเลยกระทำความผิดมาเป็นพยาน แต่โจทก์มีร้อยโทต่อตระกูล เจ้าพนักงานผู้ซักถามจำเลยเบิกความประกอบผลการดำเนินตามกรรมวิธีและภาพถ่าย ได้ความว่า ตั้งแต่ก่อนจับกุมมีการสืบทราบว่า จำเลยเป็นสมาชิกของขบวนการกลุ่มแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานี โดยมีนายบูคอรี เป็นผู้ชักนำให้จำเลยเข้าร่วมขบวนการโดยวิธีสาบานตนหรือซูมเปาะห์ หลังจากทำพิธีสาบานตนเสร็จแล้วจะมีการฝึกหน่วยทหารขนาดเล็กหรือขั้นปอเนาะที่อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ใช้ระยะเวลาในการฝึกประมาณ 15 วัน หลังจากได้รับการฝึกแล้ว จำเลยเริ่มลงมือ 3 ครั้ง ครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายน 2557 ร่วมกันปล้นรถยนต์แล้วนำไประเบิดที่เทศบาลตำบลมะกรูด อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560 มีการทำร้ายร่างกายและชิงรถกระบะเพื่อนำไปประกอบลอบวางระเบิดที่ข้างฐานตำรวจตระเวนชายแดน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และครั้งที่ 3 เมื่อเดือนเมษายน 2560 จำเลยร่วมกับคนร้ายลอบวางระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษแต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ข้อมูลการซักถามทั้งหมดได้มาจากคำบอกเล่าของจำเลยที่ให้การไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับวันเวลา สถานที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่จริง สอดคล้องกับบุคคลและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการที่จำเลยให้ถ้อยคำต่อผู้ดำเนินกรรมวิธีซักถามในฐานะผู้ถูกดำเนินการหรือผู้ต้องสงสัยในฐานะพยาน มิใช่คำให้การของผู้ถูกจับที่ให้ไว้ก่อนพนักงานสอบสวนเพราะขณะนั้นจำเลยยังไม่ได้ถูกจับกุม ทั้งการสอบปากคำโดยผู้ดำเนินการก็เป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยชอบและเป็นการสอบปากคำจำเลยในเบื้องต้นเท่านั้น หากจำเลยมิได้ให้ถ้อยคำดังกล่าวจริง ร้อยโทต่อตระกูลคงไม่สามารถบันทึกข้อความขึ้นมาเองได้เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว จึงเชื่อว่าจำเลยให้ถ้อยคำด้วยความสมัครใจ และร้อยโทต่อตระกูลได้อ่านข้อความให้จำเลยฟังแล้วก่อนที่จำเลยจะลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้อ่านข้อความ จำเลยถูกซ้อมและบังคับให้ลงชื่อในผลการดำเนินตามกรรมวิธีนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานอื่นใดสนับสนุน และจำเลยไม่เคยแจ้งให้แพทย์ พนักงานสอบสวน หรือแม้กระทั่งบุคคลในครอบครัวของจำเลยทราบในทันทีที่พบกัน ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญอันควรแจ้งให้ทราบ บ่งชี้เป็นข้อพิรุธว่าจำเลยถูกซ้อมและถูกบังคับจริงหรือไม่ จึงทำให้ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเข้าเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานีของกลุ่มนายบูคอรี โดยมีพฤติการณ์กระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเป็นคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก สำหรับความผิดฐานสนับสนุนการก่อการร้ายและสนับสนุนความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น โจทก์มีพันตำรวจเอกดุสิต ดาบตำรวจไพวัลย์ และร้อยตำรวจเอกสุริวงค์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมสืบสวนเป็นพยานเบิกความไปตามลำดับขั้นตอนเชื่อมโยงกันได้ความว่า เหตุระเบิดทั้งสามแห่ง ในท้องที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา คนร้ายใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นตัวจุดระเบิด ซึ่งจากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุหน้าสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ พบซิมการ์ดหมายเลข 09 3xxx x739 และเหตุระเบิดบริเวณหน้าร้านสวัสดิการสถานีตำรวจภูธรสะเดา พบซิมการ์ดหมายเลข 09 3xxx x735 และหมายเลข 09 3xxx x752 ในที่เกิดเหตุ โดยมีการนำซิมการ์ดทั้งสามเลขหมายไปตรวจสอบทราบว่าซื้อมาจากร้านเอ็นโมบาย นายนเรศเจ้าของร้านตรวจสมุดบันทึกการขายแล้วแจ้งว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556 มีชาย 2 คน เป็นผู้ที่มาซื้อซิมการ์ดทั้งสามหมายเลขดังกล่าวไปพร้อมกับซิมการ์ดหมายเลขอื่นอีกรวม 6 อัน นายนเรศขอดูบัตรประจำตัวประชาชนของชายทั้งสองแล้ว แต่ชายทั้งสองแจ้งว่าไม่ได้นำมาและบอกแต่เพียงว่าชื่อนายมาหดี อยู่ที่ตำบลเปลี่ยน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา พร้อมกับให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อไว้คือ หมายเลข 08 9297 xxxx และหลังจากนายนเรศขายซิมการ์ดทั้งหกอันให้แก่ชายทั้งสองคนไปแล้ว นายนเรศโทรศัพท์ไปยังหมายเลข 08 9297 xxxx ที่ให้ไว้ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ และจากการสืบสวนพบว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2556 มีผู้โทรศัพท์จากหมายเลข 09 3715 xxxx เข้าไปยังหมายเลข 09 3xxx x752 จำนวน 1 ครั้ง โดยซิมการ์ดหมายเลข 09 3715 xxxx ถูกจำหน่ายมาจากร้านอามิเน๊าะเทเลคอม นางอามิเน๊าะเจ้าของร้านแจ้งว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556 มีชาย 2 คน มาขอซื้อซิมการ์ด 6 อัน แต่ลูกจ้างของร้านขายให้เพียง 3 อัน เพราะซื้อเป็นจำนวนมาก เมื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่ร้านอามิเน๊าะ เทเลคอมพบว่าชายทั้งสองคนที่มาซื้อซิมการ์ดใช้รถจักรยานยนต์ หมายเลข งทม สงขลา 756 เป็นพาหนะโดยมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และเมื่อนำภาพจำเลยจากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ไปให้นายนเรศดูแล้วยืนยันว่า บุคคลในภาพเป็นคนเดียวกันกับที่มาซื้อซิมการ์ด 6 อัน จากร้านของนายนเรศในวันเดียวกัน โดยมีนายนเรศเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าวยืนยันว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 13 นาฬิกา มีชาย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่บริเวณหน้าร้านแล้วเดินเข้ามาภายในร้าน นายนเรศจำได้ว่า ชายคนที่เข้ามาเลือกซื้อซิมการ์ดคือจำเลย โดยมีรายการซื้อขายซิมการ์ดประกอบเป็นหลักฐาน เมื่อนายนเรศดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้มาจากร้านอามิเน๊าะเทเลคอมแล้วยืนยันว่าชายทั้งสองคน ที่อยู่ในกล้องวงจรปิดเป็นบุคคลคนเดียวกับชายทั้งสองที่มาซื้อซิมการ์ดจากร้านของนเรศจริง แม้นายนเรศจะเคยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนในครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 ว่า คนร้ายเป็นบุคคลอื่น ก็หาเป็นข้อพิรุธไม่เพราะเนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจนำรูปภาพของบุคคลอื่น ๆ มาให้ดูหลายรูปจึงอาจทำให้นายนเรศเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้ แต่เมื่อนายนเรศได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว จากนั้นมีการสอบปากคำเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2558 นายนเรศจึงได้ขอแก้ไขคำให้การเดิมและให้การใหม่ยืนยันว่า จำเลยคือหนึ่งในคนร้ายที่มาติดต่อขอซื้อซิมการ์ดกับตนเองตามที่เบิกความตอบคำถามค้านและคำถามติง ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมองเห็นหน้ากันได้ชัดเจนและจำเลยกับพวกอีก 1 คน ที่มาติดต่อขอซื้อซิมการ์ดกับนายนเรศไม่ได้ปิดบังใบหน้า โดยนายนเรศกับจำเลยใช้เวลาพูดคุยกันอยู่นานพอสมควรจึงมีเวลาพอที่จะจดจำกันได้ เชื่อว่านายนเรศจดจำจำเลยได้จริงดังที่เบิกความ อันเป็นการสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานสืบสวนดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจเอกไวยวิทย์ หัวหน้าพนักงานสอบสวน ปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่เบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยไม่ปรากฏข้อพิรุธสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยแต่ประการใด เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งหมดเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่รู้เห็น ที่จำเลยนำสืบว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้าน ไม่เคยไปที่ร้านเอ็นโมบายและร้านอามิเน๊าะเทเลคอมมาก่อน ส่วนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟสีดำ หมายเลขทะเบียน งทม สงขลา 756 บิดาของจำเลยขายไปตั้งแต่ปี 2556 แล้วนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ คงมีเพียงบิดาและภริยาจำเลยเบิกความในทำนองช่วยเหลือจำเลย โดยไม่มีหลักฐานอื่นใดสนับสนุน ทำให้มีน้ำหนักรับฟังน้อย และนอกจากนี้จำเลยยังให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนโดยมีข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุลอบวางระเบิดได้มีนายอดินัน มาหาและขอให้จำเลยไปซื้อซิมการ์ด 7 อัน จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปชวนนายซับรี ไปซื้อซิมการ์ดด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจำเลยให้การไว้เช่นนั้นจริงเพราะการให้การดังกล่าวมีนายสุริยัน ทนายความร่วมฟังการสอบสวนและลงชื่อรับรองความถูกต้องไว้ อันเป็นการเจือสมกับพยานโจทก์ ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังมั่นคงยิ่งขึ้น พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยกับพวกไปซื้อซิมการ์ดที่ร้านเอ็นโมบายและร้านอามิเน๊าะเทเลคอมเพื่อนำไปใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำประกอบวัตถุระเบิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยสะสมอาวุธ จัดหา หรือรวบรวมทรัพย์สินเพื่อก่อการร้าย ฐานสนับสนุนการทำและประกอบวัตถุระเบิด และฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย แต่เมื่อจำเลยกับพวกมีเจตนาเดียวในการกระทำความผิดทั้งสามฐานนี้ในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งต้องลงโทษฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) วรรคแรก, 135/2 (2) ประกอบมาตรา 86, 135/3, 209 วรรคแรก (เดิม) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 55, 78 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุก 1 ปี ฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยสะสมอาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สินเพื่อก่อการร้าย ฐานสนับสนุนการทำและประกอบวัตถุระเบิด และฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานเป็นอั้งยี่ คงจำคุก 8 เดือน ฐานสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9