กรณีสืบเนื่องมาจากที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ทั้งสองผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายโจทก์ทั้งสองขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2531 ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานเอกสารอันดับ 2 และ 3 โจทก์ทั้งสองผู้อ้างยังไม่ทราบถึงความมีอยู่หรือไม่ จึงไม่รับบัญชีพยานอันดับ 2 และ 3 ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกการที่ศาลชั้นต้นไม่รับข้างต้นมาตรวจสอบ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของศาลต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2531 ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกพยานเอกสารดังกล่าวอีก ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตเพราะไม่รับบัญชีระบุพยานมาแต่ต้นแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจึงยื่นคำร้องลงวันที่ 14 ตุลาคม 2531 ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องและคัดค้านผู้พิพากษาโดยให้เปลี่ยนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน อ้างว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่เป็นกลางอย่างเที่ยงธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายโดยเฉพาะไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรมมีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว ผู้ถูกกล่าวหารับว่าได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 14 ตุลาคม 2531 มีข้อความดังกล่าวแล้วข้างต้นจริงศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ให้จำคุก15 วัน ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยกระทำผิดมาก่อนให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทน
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 1 ปี
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ตามคำร้องลงวันที่ 14 ตุลาคม 2531 ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีสิทธิโดยชอบและกรณีมีความจำเป็นจะต้องกล่าวถึงข้อมูลตามความจริงที่ปรากฏขึ้นในคดีนั้น แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความในคำร้องดังกล่าวว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนผู้พิจารณาคดีนี้ดำเนินกระบวนพิจารณาไม่เป็นกลางอย่างเที่ยงธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย โดยเฉพาะไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสองมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรมเพราะมีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายอันมีสภาพร้ายแรง ทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป ฯลฯ ไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1อันดับ 2 และ 3 ของโจทก์ด้วยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองซึ่งตามทางไต่สวนก็ปรากฏเพียงว่า เดิมศาลสั่งรับบัญชีพยานของโจทก์ไว้แล้วตามคำร้องลงวันที่ 16 กันยายน 2531 ต่อมา2-3 วัน ศาลได้แก้ไขคำสั่งเดิมและสั่งใหม่เป็นไม่รับบัญชีพยานอันดับ 2 และ 3 การแก้ไขคำสั่งจึงไม่มีเหตุอันมีสภาพร้ายแรงดังที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้อง และผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความเกินไปจากความจริง หากผู้ถูกกล่าวหาไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหาสามารถโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าวได้ตามกระบวนพิจารณา แต่ผู้ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้กระทำดังนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความตามคำร้องลงวันที่ 14 ตุลาคม 2531 กล่าวหาว่าศาลไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาไปโดยเที่ยงธรรมกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรมเพราะมีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล คำพิพากษาฎีกาที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างอิงข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาต่อมาว่า ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ว่า ได้มีการแก้ไขคำสั่งในบัญชีพยานของโจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จะมีการกระทำดังผู้ถูกกล่าวหาอ้างจริงหรือไม่ก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหาก็หามีสิทธิที่จะกล่าวถ้อยคำเสียดสีผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีมาในคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาไม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 1 ปีนั้น ยังไม่ชอบ เพราะโทษที่จะรอการลงโทษได้นั้น ต้องเป็นโทษจำคุกเท่านั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแล้ว จึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง"
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังและให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์