คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 581/2553 และ 582/2553 ของศาลชั้นต้น แต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 83, 91, 135/1, 135/2, 209, 210, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 6, 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ, 78 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1), 135/2 (2), 209, (ที่ถูก มาตรา 209 วรรคแรก) 210, 289 (2) (4) ประกอบมาตรา 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 55, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นส่วนของแผนการก่อการร้าย ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร และฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 3 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษฐานร่วมกันก่อการร้าย จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 35 ปี 8 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคสาม อีกบทหนึ่งด้วย ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวในการกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ตามมาตรา 78 วรรคสาม ฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นส่วนของแผนการก่อการร้าย ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ และฐานเป็นซ่องโจร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน และเมื่อรวมกับโทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 4 เดือน แล้ว คงจำคุกจำเลย 33 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งฟังยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนใช้อาวุธปืนซุ่มยิงจ่าเอกโอภาส ผู้เสียหายที่ 1 พันจ่าเอกสำราญ ผู้เสียหายที่ 2 จ่าเอกยงค์ยุทธ ผู้เสียหายที่ 3 พลทหารกำจัด ผู้เสียหายที่ 4 จ่าเอกดนัย ผู้เสียหายที่ 5 พลทหารวัลลภ ผู้เสียหายที่ 6 จ่าเอกธัญญะ ผู้เสียหายที่ 7 และพลทหารต่วนเล๊าะ ผู้เสียหายที่ 8 ทหารนาวิกโยธินกองร้อยที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานีที่ 26 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานขณะกระทำการตามหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ไปคุ้มครองครูที่ถนนสายบ้านรังมดแดง - บ้านป่าไหม้ หมู่ที่ 4 ตำบลดอนทราย อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ปลอกกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 (5.56 มม.) จำนวน 12 ปลอก ในบริเวณที่เกิดเหตุเป็นของกลาง ปลอกกระสุนปืนดังกล่าวตรวจสอบแล้วใช้ยิงมาจากอาวุธปืนเล็กกลขนาด .223 (เอ็ม 16) ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกับคนร้ายกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบต้องการแบ่งแยกรัฐปัตตานีร่วมสมคบกันวางแผนกระทำการใด ๆ อันก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สิน ชีวิตหรือร่างกาย แล้วจำเลยร่วมกับคนร้ายอีก 4 คน ใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ซุ่มยิงผู้เสียหายทั้งแปดซึ่งเป็นเจ้าพนักงานขณะกระทำการตามหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ไปคุ้มครองครู แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายทั้งแปด เป็นการสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนอันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย โดยแบ่งแยกหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
สำหรับฎีกาของจำเลยในส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และคงลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ส่วนฎีกาประการอื่นของจำเลยเป็นรายละเอียดไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ฐานเป็นอั้งยี่ และฐานเป็นซ่องโจร ย่อมเป็นความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่มีการสบคบวางแผนเพื่อกระทำการอันเป็นความผิด แม้ยังมิได้มีการกระทำการตามที่ได้สมคบกันก็ตาม จึงเป็นการกระทำความผิดกรรมหนึ่ง เมื่อต่อมาจำเลยกับพวกวางแผนการอย่างใด ๆ เพื่อก่อความไม่สงบร่วมกันดักซุ่มยิงทหารชุดคุ้มครองครูจึงเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังแยกออกจากกัน การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และฐานใช้อาวุธปืนดังกล่าวในการกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าการกระทำความผิดทุกฐานดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แม้โจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องโดยไม่แก้โทษ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 ปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ฐานเป็นอั้งยี่ และฐานเป็นซ่องโจร เป็นการกระทำความผิดอีกกรรมหนึ่ง โทษและนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9