คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 ผู้คัดค้านที่ 1 ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา ในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องได้วางเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 4 ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนครบจำนวน ทั้งชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินร้อยละสามเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายร้อยละสองเป็นเงิน 345,939.60 บาท แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 แจ้งแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 งดการขายทอดตลาดและถอนการยึดที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 เป็นให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้ยึดที่ดินรวม 6 แปลง รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของยอดหนี้ดังกล่าวคำนวณเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และเรียกค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายอีกร้อยละสองของราคาที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 345,939.60 บาท รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในส่วนที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์เพียงประการเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินจากผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) ได้หรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 เสมือนว่าผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยผู้ร้องได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นการตอบแทนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมต่างตอบแทนไม่ใช่การเสียเปล่า เงินที่ผู้ร้องนำมาวางชำระจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 2 เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับไว้ จึงเป็นเงินที่รวบรวมได้ตามนัยแห่งมาตรา 179 (4) แล้ว จึงต้องคิดค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1376/2558 กำหนดว่า จำเลย (ลูกหนี้) จะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ดังนั้น การที่ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินแทนลูกหนี้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ