โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2541 บริษัทไทยสุมิคอน จำกัด ได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2540 บริษัทไทยสุมิคอน จำกัด ได้โอนโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ยอมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่บริษัทไทยสุมิคอน จำกัด มีอยู่ต่อโจทก์ โจทก์ทำหน้าที่พนักงานขับรถโดยรับค่าจ้างอัตราสุดท้าย10,880 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2543 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่มากกว่า 3 วัน ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์ปฏิบัติงานให้จำเลยที่ 1 ตลอดเวลาดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 ติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้ายสามร้อยวัน ระหว่างที่ทำงานกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 8 มกราคม 2543 จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ 2,901 บาท นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ได้จัดตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสุมิโตโม ไทยสุมิคอน โดยมีข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินสะสมและเงินสมทบว่าโจทก์จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนร้อยละ 3 และ จำเลยที่ 1 จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนร้อยละ 7 จะจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ออกจากงานแล้ว ขณะนี้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สุมิโตโม ไทยสุมิคอน เป็นเงิน 35,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า10,880 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จค่าจ้าง 2,901 บาท ค่าชดเชย 108,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสม และเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสุมิโตโม ไทยสุมิคอน จำกัด35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ทำงานกับบริษัทสยามสปีริต ซัพพลาย จำกัด เมื่อปี 2522 ต่อมาบริษัทดังกล่าวได้โอนโจทก์ไปเป็นพนักงานบริษัทไทยสุมิคอน จำกัด จากนั้นบริษัทไทยสุมิคอน จำกัด ย้ายโจทก์มาทำงานกับจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานขับรถ ทั้งที่สำนักงานใหญ่และบางช่วงที่มีโครงการก่อสร้าง โจทก์ก็ต้องไปปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างตามคำสั่ง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามปกติในหน้าที่ของโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ไปประจำ ณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2543 จำเลยที่มีคำสั่งเป็นหนังสือแจ้งโจทก์อีกครั้งหนึ่ง โจทก์ทราบคำสั่งแล้วแต่มิได้ไปทำงานที่โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ และมิได้ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ โจทก์ขาดงานตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 ดังนั้นในวันที่ 8 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 จึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 นับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 โจทก์มิได้มาทำงานให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างตามฟ้องแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์แถลงไม่ติดใจคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินสะสม และเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสุมิโตโม ไทยสุมิคอนจำกัด จำนวน 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขอในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงหมดไป เท่ากับโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 คงมีปัญหาในวินิจฉัยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 108,800 บาท ค่าจ้าง2,901 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่นั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานขับรถ โดยบางครั้งทำงานที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร บางครั้งต้องปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ในจังหวัดใกล้เคียง ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 ได้ออกคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานที่โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี ตามคำสั่งเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งโจทก์ทราบคำสั่งแล้วไม่ยอมไป โดยในระหว่างวันที่ 2 มกราคม 2543 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543 โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ทุกวัน จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เกินกว่าสามวันทำงานติดต่อตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.2 เห็นว่า โจทก์ทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถในกรุงเทพมหานคร จำเลยสามารถย้ายโจทก์ไปปฏิบัติงานโครงการก่อสร้างจังหวัดใกล้เคียงได้ การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานที่โครงการสร้างสะพานข้ามแม้น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรีคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2543 งานในหน้าที่ของโจทก์คือเป็นพนักงานขับรถของโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ มิใช่หน้าที่พนักงานขับรถของสำนักงานใหญ่ เมื่อโจทก์ไม่ยอมไปทำงานที่โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดนครอินทร์ในวันที่ 3 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543 แม้โจทก์จะยังคงไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ในระหว่างเวลาดังกล่าวทุกวันก็ตาม การกระทำของโจทก์ย่อมเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยที่ 1 ย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้ โดยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(5) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
ปัญหาจะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อต่อมาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างวันที่ 3 ถึง 8 มกราคม 2543 หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่มากกว่าสามวันตั้งแต่วันที่ 3 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543จึงขอเลิกจ้างโจทก์นับตั้งแต่ วันที่ 3 มกราคม 2543 เป็นต้นไปก็ตาม แต่สิทธิในการเลิกจ้างของนายจ้างในกรณีที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทิ้งหน้าที่ล่วงพ้นในวันที่สามไปแล้ว และนายจ้างย่อมไม่อาจจะให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มละทิ้งหน้าที่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในระหว่างวันที่ 3 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2543 โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ทุกวัน โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างเวลาดังกล่าวอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง