โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 จำเลยได้ทำสัญญาซื้อข้าวโพดเกรดเอจากโจทก์ จำนวน 21,000 เมตริกตันมีข้อตกลงว่า จำเลยจะรับมอบข้าวโพด 1,000 เมตริกตัน และชำระราคาในราคาหาบละ 187 บาท ให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญา ข้าวโพดที่เหลือจำเลยจะรับมอบ 10,000 เมตริกตันราคาหาบละ 198 บาทในเดือนมกราคม 2527 และรับมอบข้าวโพด 10,000 เมตริกตันราคาหาบละ 208 บาท ในเดือนมีนาคม 2527 โดยจำเลยเป็นฝ่ายไปรับข้าวโพดจากไซโลของบริษัทคอนติเนนตัลโอเวอร์ซีส์ จำกัดที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยจะต้องชำระราคาข้าวโพดที่จะรับมอบจากโจทก์ในเดือนมกราคมและมีนาคม 2527ร้อยละ 10 ภายในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2526 ราคาที่เหลืออีกร้อยละ90 จะชำระให้แก่โจทก์เสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม และวันที่1 มีนาคม 2527 ตามลำดับ และจะต้องรับข้าวโพดไปจากโจทก์มีจำนวนอย่างน้อยร้อยละ 70 ของจำนวนข้าวโพดที่จะรับมอบจากโจทก์แต่ละเดือนตามที่ตกลง หากมีข้าวโพดเหลืออยู่ที่โจทก์ ยอมให้โจทก์เรียกค่าเก็บรักษาอีกหาบละ 2 บาท หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยรับข้าวโพด 1,000 เมตริกตัน และชำระราคาให้แก่โจทก์กับชำระราคาข้าวโพดที่จะรับจากโจทก์ในเดือนมกราคมและมีนาคม 2527 ร้อยละ 10ตามสัญญา ต่อมาได้ชำระราคาร้อยละ 90 สำหรับข้าวโพด 10,000 เมตริกตันที่จะรับมอบในเดือนมกราคม 2527 แต่รับมอบข้าวโพดไปจากโจทก์เพียง4,510.40 เมตริกตัน ที่เหลือ 5,489.60 เมตริกตันรับไปหลังวันที่ 31 มกราคม 2527 จำเลยจะต้องชำระค่าเก็บรักษาสำหรับข้าวโพดส่วนนี้เป็นเงิน 182,986.66 บาท ส่วนข้าวโพดจำนวน 10,000 เมตริกตันที่จำเลยจะต้องรับมอบจากโจทก์ในเดือนมีนาคม 2527 นั้น จำเลยไม่ชำระราคาที่เหลือร้อยละ 90 ให้แก่โจทก์ในวันที่ 1 มีนาคม 2527ตามสัญญา ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2527 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเพิ่มเติมสัญญาฉบับลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 มีข้อตกลงว่า ข้าวโพด10,000 เมตริกตันที่จำเลยจะต้องรับมอบจากโจทก์ในเดือนมีนาคม2527 นั้น ให้จำเลยรับมอบจากโจทก์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2527เดือนละ 5,000 เมตริกตัน ในราคาหาบละ 208 บาท สำหรับข้าวโพด5,000 เมตริกตันที่จะรับมอบในเดือนเมษายน 2527 ถ้ารับไปไม่หมดเหลืออยู่เพียงใดยอมให้โจทก์คิดราคาหาบละ 210 บาท และจะรับมอบข้าวโพดจากโจทก์ไปทั้งหมดภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527กับจำเลยออกเช็คของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาราชวงศ์ ลงวันที่ 30มีนาคม 2527 สั่งจ่ายเงินจำนวน 182,986.66 บาท ชำระค่าเก็บรักษาข้าวโพดแก่โจทก์ที่รับมอบไปจากโจทก์ไม่ครบถ้วนในเดือนมกราคม 2527เช็คครบกำหนด โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้และครบกำหนดที่จำเลยจะต้องรับมอบข้าวโพดและชำระราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญาทั้งหมด วันที่ 31 พฤษภาคม 2527 จำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้กำไรจากการขายข้าวโพดตามสัญญาหาบละ 27 บาท หรือเมตริกตันละ 450 บาท ข้าวโพด10,000 เมตริกตัน เป็นค่าเสียหาย 4,500,000 บาท หักราคาข้าวโพดที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ล่วงหน้าไว้แล้ว 3,466,666.50 บาท โจทก์ได้รับความเสียหาย 1,033,333.50 บาท รวมกับค่าเก็บรักษาข้าวโพดอีก 182,986.66 บาท เป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,216,320.16 บาทและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2527ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย 1,322,748.16 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,322,748.16 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า การที่จำเลยไม่ได้รับมอบข้าวโพด10,000 เมตริกตัน และชำระราคาให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31พฤษภาคม 2527 ตามสัญญาเพิ่มเติมระหว่างโจทก์กับจำเลย ลงวันที่ 14มีนาคม 2527 นั้น เพราะโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันว่าโจทก์จะไม่ยึดถือเอากำหนดเวลาในการส่งมอบข้าวโพดตามที่ตกลงไว้เป็นสาระสำคัญมีการผ่อนผันต่อกันมา เนื่องจากจำเลยยังมีข้าวโพดที่ซื้อมาจากโจทก์ในเดือนก่อนเหลืออยู่ โจทก์ก็ไม่ได้บอกเลิกสัญญาจนถึงวันที่3 กรกฎาคม 2527 จำเลยได้ขอรับข้าวโพดจากโจทก์ โจทก์ไม่มีข้าวโพดที่จะมอบให้แก่จำเลยตามสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาวันที่ 10 กรกฎาคม 2527 จำเลยบอกเลิกสัญญา ให้โจทก์คืนเงินราคาข้าวโพดที่จำเลยชำระล่วงหน้าให้แก่โจทก์ไปแล้ว 3,466,666.50 บาทหักกับค่าเก็บรักษาข้าวโพดที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์182,986.66 บาท ออกแล้ว โจทก์จะต้องคืนเงิน 3,283,679.84 บาทแก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกสัญญาคือวันที่ 11 กรกฎาคม 2527ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวม3,579,883 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 3,579,883 บาทแก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่รับมอบข้าวโพดและชำระราคาที่เหลือร้อยละ 90 สำหรับข้าวโพดที่จำเลยจะต้องรับมอบจากโจทก์ในเดือนมีนาคม 2527 ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเพิ่มเติมซึ่งจำเลยจะต้องรับมอบข้าวโพดทั้งหมดและชำระราคาให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 หลังจากทำสัญญาเพิ่มเติมแล้ว จำเลยไม่ยอมรับมอบข้าวโพดและชำระราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญาเพราะราคาซื้อขายข้าวโพดในท้องตลาดขณะนั้นถูกกว่าราคาที่จำเลยตกลงกับโจทก์ไว้ตามสัญญา โจทก์มีข้าวโพดพร้อมที่จะส่งมอบให้แก่จำเลยตามสัญญา แต่จำเลยขอรับมอบข้าวโพดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2527ซึ่งล่วงเลยวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ที่จำเลยจะรับมอบข้าวโพดทั้งหมดตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกร้องให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,216,320.16 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาซื้อขาย โจทก์จำเลยไม่ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 จ.4 และสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 เป็นสัญญาที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน คือภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฏว่าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2527 ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้ตามสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรพิมพ์มีข้อความว่า หากข้าวโพดส่วนที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาถูกยกเลิกไปจำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,033,333.50 บาท กับมีข้อความตอนท้ายว่า การชำระหนี้เต็มจำนวนต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฏตามโทรพิมพ์เอกสารหมาย จ.14 ดังนี้ เท่ากับโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่า โจทก์ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญา แต่ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญาสัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันที ดังนั้นตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีผลผูกพันอยู่จำเลยมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้ ปัญหาต่อไปมีว่า ระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2529 จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำนวน 10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยพร้อมที่จะชำระราคาปรากฏตามที่จำเลยนำสืบและหนังสือเอกสารหมาย จ.15 และ จ.16จำเลยเพียงแต่มีหนังสือดังกล่าวถึงโจทก์ว่า จำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด ไปตรวจสินค้าที่ไซโลท่าเรือเพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้น ข้อนำสืบของจำเลยเช่นนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ตามสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อปรากฏในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย จ.24 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ที่จำเลยฎีกาว่าราคาข้าวโพดที่จะส่งมอบทันทีตามสัญญาราคาหาบละ187 บาท ต่อ 60 กิโลกรัม แต่ตามสถิติสินค้าพืชไร่ของสมาคมพ่อค้าข้าวโพดและพืชพันธุ์ไทยราคาหาบละ 183 บาท ต่อ 60 กิโลกรัมดังนั้นข้าวโพดเกรดเอที่จำเลยซื้อแพงกว่าข้าวโพดเกรดเอทั่วไปหาบละ4 บาท เมื่อราคาข้าวโพดตามสัญญาเฉลี่ยราคาหาบละ 208 บาท ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ผลต่างราคาซื้อขายกับราคาตลาดหาบละ 22 บาทซึ่งจำเลยควรจะใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์เมื่อหักกับเงินที่จำเลยชำระไปแล้วอย่างมากก็เพียง 200,000 บาท นั้น เห็นว่าในข้อนี้จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้วและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.