คดีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งห้าฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบแปดในมูลหนี้ละเมิดที่จำเลยทั้งสิบแปดร่วมกันกระทำต่อจำเลยร่วมเป็นเงิน 5,857,335,703.17 บาท เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียผลประโยชน์เป็นเงิน 204,093,309.07 บาท
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และที่ 12 ถึงที่ 18 ให้การปฏิเสธความรับผิด
จำเลยที่ 11 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ขอให้เรียกบริษัทราชาเงินทุน จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกว่าจำเลยที่ 19
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 4 ที่ 5 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์จำเลยที่ 14 ถึงที่ 18 คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ที่ 4 ที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้
จำเลยที่ 14 ถึงที่ 18 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้มีบทบัญญัติว่าด้วยการถอนอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะ แต่ตามมาตรา 246ของลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณา และการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ได้โดยอนุโลม คำฟ้องอุทธรณ์ก็เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ดังนั้นจึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการถอนคำฟ้องตามมาตรา 175 มาใช้บังคับเกี่ยวกับการถอนคำฟ้องอุทธรณ์โดยอนุโลม ซึ่งการถอนคำฟ้องในคดีแพ่งนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 บังคับเพียงว่าให้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อนที่จะสั่งอนุญาตให้ถอนคำฟ้องแม้จำเลยคัดค้านก็อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งอนุญาตได้ และการที่โจทก์ขอถอนคำฟ้องเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริตเพื่อเอาเปรียบในเชิงคดี ดังนั้นเมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และโจทก์ที่ 4 ที่ 5ขอถอนอุทธรณ์ก็ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะอนุญาตให้โจทก์ที่ 4 ที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบด้วยมาตรา 175คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้จึงชอบด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบด้วยมาตรา 175คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้จึงชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว ข้อที่จำเลยที่ 14 ถึงที่ 18 อ้างว่าจะทำให้ตนเสียเปรียบเพราะโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 อาจไม่มีเงินชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนตามคำพิพากษาของศาลก็ดี หรือเกรงว่าต่อไปในชั้นฎีกาโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 อาจขอฎีกาอย่างคนอนาถาก็ดี ล้วนแต่เป็นเรื่องที่มีบทบัญญัติของกฎหมายได้บัญญัติไว้แล้วและเป็นเรื่องที่ศาลจะพิจารณาสั่งการได้ตามกฎหมายเป็นกรณีไป มิใช่เงื่อนไขที่เกี่ยวกับการอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์หรือไม่..."
พิพากษายืน.