โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑  กู้เงินนางสมจิตต์  วุฒิเสถียรไป  ๓๐,๐๐๐ บาท  และนำใบแทนใบสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินกับสำเนาหนังสือสัญญาขายท่ดินหนึ่งแปลงมอบให้เป็นประกัน  เมื่อถึงกำหนดชำระต้นเงินคืน  จำเลยที่ ๑ ขอผัดผ่อน  นางสมจิตต์ก็ยอมให้ผัด  ต่อมานางสมจิตต์พูดกับจำเลยทั้งสามว่า  ที่ดินที่จำเลยท่ ๑ นำมาประกันเงินกู้ไว้นั้น  ถ้าจำเลยที่ ๒, ๓  จะรับซื้อไว้ก็ขอให้บอกด้วย  เพื่อได้มาคัดค้านหรือขอรับชำระหนี้  ต่อมาจำเลยที่ ๑ บังอาจโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒, ๓  โดยไม่ได้บอกกล่าวให้นางสมจิตต์ทราบ  ทั้งนี้  โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเจตนาเพื่อจะมิให้นางสมจิตต์ได้รับชำระหนี้หรือใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้  โดยจำเลยที่ ๑ ไม่มีที่ดินแห่งใดอีก  นางสมจิตต์ร้องทุกข์แล้ว  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐, ๘๓  และขอให้จำเลยทั้งสามใช้ต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่นางสมจิตต์ด้วย
นางสมจิตต์ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการโอยเสียค่าธรรมเนียมเป็นคดีอาญาสินไหม  ขอถือเอาคำฟ้องของอัยการเป็นฟ้องของผู้เสียหายด้วย  ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้ว่า  เมื่อหนี้ถึงกำหนด  โจทก์ร่วมยอมให้เลื่อนกำหนดชำระไปโดยไม่จำกัดเวลา  และจากนั้นก็มิได้บอกกล่าวกำหนดเวลาให้ชำระหนี้  การโอนขายของจำเลยที่ ๑  ให้จำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยสุจริต
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า  รับซื้อที่ดินไว้โดยสุจริต  มิได้เจตนามิให้โจทก์ร่วมได้รับชำระหนี้
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า  มิได้เป็นผู้รับโอนหรือรับโอนทรัพย์จากจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสามให้การด้วยว่า  อัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกต้นเงินกู้และดอกเบี้ยแทนผู้เสียหายและฟ้องไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ร่วมเสียค่าทนาย ๕๐๐ บาท  กับค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติความผิดฐานฉ้อโกง  และความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ไว้ต่างหมวดกัน  มิได้รวมไว้ในหมวดเดียวกันดังกฎหมายลักษณะอาญา  และความผิดฐานฉ้อโกงกับฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามีองค์ประกอบความผิดต่างกันด้วย  จึงเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๓  มิได้บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหายในคดีอาญาฐานโกงเจ้าหนี้
ฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่า  ในการซื้อขายที่ดินนั้น  จำเลยได้กระทำโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้  ไม่ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐
คดีนี้  โจทก์ร่วมได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ  โดยขอถือเอาคำฟ้องของอัยการเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วย  ฉะนั้น  เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องจึงหมายความว่าได้ยกฟ้องของโจทก์ร่วมด้วย  ศาลจึงอาจใช้ดุลพินิจกำหนดให้โจทก์ร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้  แม้จะไม่ได้วินิจฉัยคดีทางแพ่งด้วยก็ตาม
ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า  เมื่อโจทก์นำสืบ  จำเลยมิได้ถามค้านเรื่องจำเลยได้นำเงินไปผ่อนชำระให้โจทก์  แล้วจำเลยมานำสืบพิสูจน์ภายหลังจึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๙ นั้น  เห็นว่าเป็นการโต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น  ชอบที่โจทก์ร่วมจะขอให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นไว้  การที่โจทก์ร่วมเพิ่งมาคัดค้านในชั้นอุทธรณ์เช่นนี้  จึงต้องห้ามตามมาตรา ๒๒๖ (๒)
พิพากษายืน