โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 7, 48, 50, 73, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116พ.ศ. 2515 ข้อ 6 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518มาตรา 7, 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522มาตรา 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 4พระราชกฤษฎีกา กำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบของกลาง และจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 7, 48, 50, 73, 74 ทวิ,74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาทรวม 2 กระทงเป็นจำคุก 2 ปี ปรับ 30,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปีปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ของกลางริบไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับกึ่งค่าปรับ จำเลยอุทธรณ์ขอไม่ให้ริบไม้ของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยเพียงว่าศาลมีอำนาจสั่งริบไม้ของกลางหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ไม้ของกลางมาโดยชอบด้วยกฎหมาย และเข้าใจว่าจะนำไปประกอบการใด ๆก็ได้โดยไม่จำต้องขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้อีก ความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเกิดขึ้นภายหลังไม้ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดหรือได้ใช้ในการกระทำผิด หรือได้มาโดยการกระทำผิด ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ไม้แปรรูปของกลางมาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่การมีไม้ไว้ในครอบครองของจำเลยดังกล่าวเป็นการมีไว้เพื่อการค้า กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ฯ มาตรา 50(3) การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 48 ไม้แปรรูปของกลางจึงเป็นไม้ที่จำเลยมีไว้ เนื่องจากการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นของต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 74 แม้โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 74แต่ก็ได้มีคำขอให้ริบไม้ของกลางมาแล้ว ศาลจึงมีอำนาจริบได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน