โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ จำคุก๖ เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความในเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งเป็นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีใจความสำคัญว่า โจทก์มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คจนกว่าคดีถึงที่สุด ในชั้นนี้โจทก์ขอรับเช็คกลับคืนไปเพื่อดำเนินการตามกฎหมายอีก ส่วนหนึ่งต่อไปเห็นว่า ข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๓ ในตอนต้นระบุว่ามาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แสดงว่า โจทก์ได้แจ้งความกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ซึ่งร้อยตำรวจเอกเฉลิม เย็นสำราญ พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้รับแจ้งความร้องทุกข์จากโจทก์ก็เบิกความว่า โจทก์มาร้องทุกข์โดยประสงค์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยจนถึงที่สุด แม้ข้อเท็จจริจะได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกเฉลิมประกอบกับข้อความในเอกสารหมาย จ.๓ ตอนท้ายว่า ในวันแจ้งความโจทก์ได้รับเช็คกลับคืนไปเพื่อฟ้องคดีอาญากับจำเลยเองก็ตาม แต่ข้อความในเอกสารหมาย จ.๓ตอนสุดท้ายนั่นเอง ระบุว่า ขอรับเช็คกลับคืนไปเพื่อดำเนินการตามกฎหมายอีกส่วนหนึ่งต่อไป ซึ่งหมายความว่า นอกจากโจทก์จะมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการกับจำเลยแล้ว โจทก์ยังประสงค์จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยโดยเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองอีกส่วนหนึ่งด้วยมิใช่เป็นข้อความที่แสดงว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการการที่โจทก์ขอรับเช็คกลับคืนไปจึงไม่มีผลกระทบต่อการแจ้งความร้องทุกข์แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อความในเอกสารหมาย จ.๓ จึงเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒(๗) แล้ว เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๕ โจทก์มาแจ้งความร้องทุกข์วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นเวลาไม่เกิน ๓ เดือน นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๑๓พฤษภาคม ๒๕๒๙ ภายในกำหนด ๕ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย ๓ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.