โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 ตำบลสำพันตาอำเภอกบินทร์บุรี (อำเภอนาดี) จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 62 ตารางวา จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าทำนาในที่ดินดังกล่าว เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2527 จำเลยที่ 2 ใช้อุบายหลอกลวงเจ้าพนักงานที่ดินโดยแจ้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ซึ่งขณะนั้นอยู่ในพื้นที่ที่แยกเขตการปกครองจากอำเภอกบินทร์บุรีออกมาเป็นอำเภอนาดีและขอออกใบจอง เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงออกใบจองที่ดินแก่จำเลยที่ 2 ปี 2529 จำเลยที่ 2 นำใบจองที่ทางราชการออกให้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ตำบลสำพันตา อำเภอนาดีจังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ให้ ต่อมาเดือนธันวาคม 2529 จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลัง (เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2535 กระทรวงการคลังได้โอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) นั้น ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ตำบลสำพันตา อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 2 เช่าทำนา การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงมิชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ 1 ผู้รับโอนไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ทราบเหตุเมื่อเดือนเมษายน 2536 จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนาดีเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 เลขที่ดิน 30 ตำบลสำพันตา อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ในปี 2518 มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ตำบลสำพันตา อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นของจำเลยที่ 2โดยชอบ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 ตำบลสำพันตา อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179ของจำเลยที่ 2 ซึ่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินดังกล่าวโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยชอบแล้ว จำเลยที่ จึงมีสิทธิครอบครองที่ดิน อนึ่งแม้ฟังว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 จะเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 ดังที่โจทก์อ้างแต่จำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าสิบปีจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เดิมที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหลักฐานสำคัญสำหรับที่ดิน มีนายสารีหรือสาลี กองขันธ์ บิดาสามีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จับจองทำประโยชน์มานานกว่า 60 ปีเศษ เมื่อจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยกับนายสุวรรณ กองขันธ์ เมื่อปี 2516 นายสารีหรือสาลีจึงยกที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยที่ 2 และสามีครอบครองทำกินสืบต่อมา โดยจำเลยที่ 2 ยื่นเรื่องราวขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1179 โดยสุจริตและเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตและปิดประกาศคำร้องของจำเลยที่ 2 ตามขั้นตอนและระเบียบของทางราชการทุกประการ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านกระบวนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ไม่เคยเช่าที่ดินจากโจทก์ การขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินถูกต้องชอบด้วยกฎหมายปัจจุบันจำเลยที่ 2 ยังคงอยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าจากจำเลยที่ 1ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1179 เลขที่ดิน 30 ตำบลสำพันตา อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 ตำบลสำพันตาอำเภอกบินทร์บุรี (อำเภอนาดี) จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 62 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 2 ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ตำบลสำพันตา อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรีเนื้อที่ 25 ไร่ ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.7หรือ ล.2 และที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่กิ่งอำเภอนาดี อำเภอกบินทร์บุรีและอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2518 เอกสารหมาย ล.1 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกมีว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 เอกสารหมาย ล.2 ออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์เบิกความประกอบสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 2975 เอกสารหมาย จ.2 ว่า เดิมนายนิเวศน์หรือนิเวสน์ เจริญลาภ บิดาโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 เมื่อนายนิเวศน์หรือนิเวสน์ถึงแก่ความตายที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 เป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ระหว่างนายนิเวศน์หรือนิเวสน์ยังมีชีวิตอยู่นายสารีหรือสาลีบิดาสามีจำเลยที่ 2 เช่าที่นาโฉนดเลขที่ 2975 ทำนา เมื่อบิดาสามีจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายสุวรรณ กองขันธ์ สามีจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าสืบต่อมา เดือนเมษายน 2536 โจทก์ร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอนาดีรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 จึงทราบว่าจำเลยที่ 2 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ตามเอกสารหมาย ล.2 ทับที่ดินของโจทก์ และโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า เปรียบเทียบรูปแผนที่ที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 กับรูปแผนที่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 แล้ว เห็นว่าเหมือนกัน เจ้าพนักงานที่ดินผู้รังวัดแจ้งว่าหมุดหลักเขตที่ดินตรงกัน นายสุทิน เป้านา พนักงานรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี สาขากบินทร์บุรี เบิกความเป็นพยานโจทก์สนับสนุนคำเบิกความโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2515 นายนิเวศน์หรือนิเวสน์บิดาโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินสำรวจที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินเลขที่ 2975 ตามใบไต่สวนเอกสารหมาย จ.18 วันที่ 5 มีนาคม 2536 โจทก์นำนายสุทินรังวัดที่ดินอีกครั้งจึงทราบว่ามีผู้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทับที่ดินของโจทก์ได้พิจารณาสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 2975 เปรียบเทียบกับสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1179 แล้วปรากฏว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจออกโฉนดที่ดินเลขที่ 2975 แก่นายนิเวศน์หรือนิเวสน์บิดาโจทก์เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2516 ก่อนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ซึ่งออกให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์2529 ถึง 12 ปีเศษ และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 2975 กับรูปแผนที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 มีรูปแบบ ขนาดและลักษณะเดียวกันหันไปในทิศเดียวกัน หลักหมุดแสดงแนวเขตที่ดินก็สอดคล้องตรงกันโดยไม่ผิดเพี้ยนทั้งยังอยู่ในตำบล อำเภอ และจังหวัดเดียวกัน เห็นว่าจะมีที่ดิน 2 แปลง ที่เหมือนกันดังกล่าว คงเป็นไปไม่ได้นอกเสียจากจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1179 เป็นที่ดินคนละแปลงกัน แต่ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวประกอบกับจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาโต้แย้งให้เป็นประเด็นไว้ เช่นนี้ต้องรับฟังว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน พฤติการณ์แห่งคดีบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2นำที่ดินของโจทก์ไปดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยไม่มีอำนาจ แม้เจ้าพนักงานที่ดินจะหลงเชื่อคำกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 จับจองที่ดินอยู่ก่อนและออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ตามเอกสารหมาย ล.2แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินของโจทก์เพราะกระบวนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ที่ทับซ้อนโฉนดที่ดินของโจทก์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนเสียได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 จัดซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 จากจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2514 จำเลยที่ 1จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามมาตรา 36 ทวิ ประกอบมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันนี้นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 มิใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179 ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น จำเลยที่ 1 จัดซื้อที่ดินจากผู้ที่มิใช่เจ้าของ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิเหนือที่ดินนั้นเช่นเดียวกัน และการกระทำอันเกี่ยวกับการจดทะเบียนโอนสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1179 ซึ่งไม่มีผลตามกฎหมาย จึงตกเป็นอันเสียเปล่า จำเลยที่ 1 จะกล่าวอ้างการกระทำอันมิชอบเช่นนั้นว่าเป็นการจัดซื้อที่ดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มิได้ ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน