โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่การเงิน มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเงินเดือนเงินกู้และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าหน่วยวางแผนมีหน้าที่ควบคุมงานด้านการเงินและเป็นผู้ออกคำสั่งกำหนดหน้าที่ จำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้ากองสร้างข่ายสายและเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 และที่ 2จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานหน่วยตรวจสอบหลักฐาน กองคลัง มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารการเบิกเงินค่าล่วงเวลาในสายงานของจำเลยที่ 1 และมีจำเลยที่ 5 เป็นเจ้าพนักงานช่วยบริหารทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมวดตรวจสอบเอกสารเบิกจ่ายเงินค่าล่วงเวลาของพนักงานโจทก์ทั้งหมดและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 4เมื่อระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2520 ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2521 จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินค่าล่วงเวลาของเจ้าพนักงานหน่วยวางแผนเพื่อจ่ายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานรวม 416 ราย เป็นเงิน 559,625.70 บาท แล้วจำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำโดยจงใจละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่ควบคุมให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่มอบหมายเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกเอาเงินค่าล่วงเวลา จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย จำเลยที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 และที่ 2ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องปล่อยปละละเลย ไม่ควบคุมดูแล จำเลยที่ 1 และที่ 2ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนและข้อบังคับของโจทก์ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารในสายงานของจำเลยที่ 1ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องไม่ควบคุมเกี่ยวกับการเบิกจ่ายและหักล้างบัญชีให้รัดกุมและจำเลยที่ 5 ไม่ตรวจสอบการส่งเอกสารหักล้างที่มอบหมายให้จำเลยที่ 4ดำเนินการจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ทุจริตยักยอกเงินทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับเงินประกันของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้เงิน459,675.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า มิได้บกพร่องในหน้าที่ หรือจงใจประมาทเลินเล่อต่อโจทก์ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่า มิได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องปล่อยปละละเลยหรือจงใจประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทั้งได้ติดตามทวงถามให้จำเลยที่ 1 ส่งเอกสารมาตรวจสอบอยู่เสมอ การที่โจทก์ทราบเหตุแห่งการทุจริตก็ด้วยจำเลยที่ 4 และที่ 5 รายงานให้โจทก์ทราบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 459,625.70บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องจำเลยที่ 4 และที่ 5
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เอกสารหมาย จ.11 เป็นบันทึกของหัวหน้ากองอำนวยการฝ่ายธุรการลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2522 ถึงผู้อำนวยการฝ่ายธุรการรายงานถึงการสอบสวนของคณะกรรมการที่โจทก์ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2521 เพื่อทำการสอบสวนหาตัวผู้ที่จะต้องรับผิดทางแพ่งและทางวินัย ซึ่งผลการสอบสวนของคณะกรรมการดังกล่าวได้ระบุชัดถึงตัวจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ตกอยู่ในข่ายที่จะต้องเป็นผู้รับผิดทางแพ่งและทางวินัยผู้อำนวยการฝ่ายธุรการได้ทำบันทึกลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2522 ต่อท้ายนำเรียนผู้อำนวยการโจทก์ ระบุตัวจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ว่าเป็นผู้รับผิดทางแพ่งและทางวินัยเพื่อให้ผู้อำนวยการโจทก์ได้พิจารณาต่อไป ผู้อำนวยการโจทก์ (นายบุญชู เพียรพานิช)ได้ทำบันทึกข้อความลงวันที่ 22 ตุลาคม 2522 ต่อจากเอกสารหมาย จ.11ถึงผู้อำนวยการฝ่ายธุรการว่า ตามที่ฝ่ายธุรการได้สรุปสำนวนการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องกับการนี้ทั้งหมด พร้อมกับเสนอโทษทางวินัยของแต่ละบุคคล และการรับผิดชอบทางแพ่ง จากผู้รับผิดชอบ 4 คนนั้น เมื่อได้อ่านและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วยังมีประเด็นที่ใคร่จะขอความกระจ่างเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ (ซึ่งมีอยู่ 5 ข้อ) ทั้งนี้เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินในคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งพนักงาน (กตพ.) ต่อไปในเวลาอันควร ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.61 ซึ่งนายบุญชูเพียรพานิช ได้มาเป็นพยานจำเลยที่ 2 ที่ 3 เบิกความรับรองเอกสารหมาย ล.61 ดังกล่าวตามบันทึกของผู้อำนวยการโจทก์เอกสารหมาย ล.61 นี้ ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะแสดงและให้ถือได้ว่าโจทก์ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงตัวผู้ที่จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วการที่ผู้อำนวยการโจทก์ขอความกระจ่างเพิ่มเติมอีก 5 ข้อนั้น แม้ต่อมาจะได้นำเข้าที่ประชุมกฎหมายปรากฏตามบันทึกการประชุมกฎหมายครั้งที่ 76 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม2522 แต่ในที่สุดผู้อำนวยการโจทก์ (พลตรีหม่อมราชวงศ์สุตพันธุ์ ทวีวงศ์) ก็ยอมรับและปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน โดยได้สั่งลงโทษทางวินัยจำเลยทั้งห้าและให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดทางแพ่งเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2523ตามเอกสารหมาย จ.14 ซึ่งเอกสารหมาย จ.14 นี้ถือได้เพียงว่าเป็นคำสั่งให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดทางแพ่งเท่านั้น หาใช่เป็นวันที่โจทก์ได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2523 ไม่ กรณีต้องถือว่า โจทก์ได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยทั้งห้าเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2522อันเป็นวันที่ผู้อำนวยการโจทก์ได้ทำบันทึกเอกสารหมาย ล.61 แล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้าเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2524 พ้นกำหนดเวลา 1 ปี คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน