โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 240, 244, 247, 248 นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1155/2562 ของศาลชั้นต้น ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 ประกอบมาตรา 247, 244 ประกอบมาตรา 247 เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมเงินตราซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 ประกอบมาตรา 247 แต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 248 จำคุก 7 ปี นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.210/2563 ของศาลชั้นต้น ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ประกอบมาตรา 247 ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานปลอมเงินตราซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 ประกอบมาตรา 247 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 พันตำรวจเอกวชิระ ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีบุคคลจำหน่ายน้ำยาเคมีที่สามารถล้างกระดาษสีดำให้กลายเป็นธนบัตรดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นธนบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ จึงวางแผนล่อซื้อโดยให้สายลับแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ของพันตำรวจเอกวชิระแก่บุคคลดังกล่าว ในวันและเวลาเกิดเหตุจำเลยโทรศัพท์ติดต่อพันตำรวจเอกวชิระให้เดินทางไปพบที่ร้านกาแฟภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. แล้วจำเลยเปิดภาพเคลื่อนไหวในโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนให้พันตำรวจเอกวชิระดูเพื่อสาธิตการใช้น้ำยาเคมีล้างกระดาษให้กลายเป็นธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ และจำเลยเสนอขายน้ำยาเคมีแก่พันตำรวจเอกวชิระราคาหลอดละ 4,300,000 บาท จากนั้นจำเลยพาพันตำรวจเอกวชิระไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านจำเลยเพื่อดูธนบัตรปลอมที่ล้างด้วยน้ำยาเคมีแล้ว ระหว่างที่จำเลยให้พันตำรวจเอกวชิระดูธนบัตรดอลลาร์สหรัฐที่เป็นของปลอม เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้นำหมายค้นของศาลชั้นต้น เข้าตรวจค้นที่เกิดเหตุ ผลการตรวจค้นพบธนบัตรดอลลาร์สหรัฐที่เป็นของปลอมฉบับละ 100 ดอลลาร์ จำนวน 5,637 ฉบับ คิดเป็นเงินไทย 15,098,497.50 บาท และของกลางอื่น สำหรับความผิดฐานปลอมเงินตราซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้หรือไม่ เห็นว่า ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐที่เป็นของปลอมอันเป็นของกลางคดีนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยมาแต่แรก โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมตรวจค้นพบของกลางทั้งหมดภายในบ้านจำเลย พันตำรวจเอกวชิระหาได้กระทำการใดอันเป็นการก่อให้จำเลยจัดหามาไว้ในความครอบครองของตนซึ่งธนบัตรปลอมดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ การล่อซื้อของพันตำรวจเอกวชิระเป็นเพียงการแสวงหาพยานหลักฐานมาเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยเท่านั้น กรณีมิใช่จำเลยขาดเจตนากระทำความผิดมาแต่แรกแล้วพันตำรวจเอกวชิระเป็นผู้ชักจูงใจหรือก่อให้จำเลยกระทำความผิดอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย การสอบสวนชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ข้ออ้างของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ธนบัตรปลอมดังกล่าวเป็นของนายบุญธรรมซึ่งถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดในกระเป๋าโดยจำเลยมิได้นำออกใช้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าพันตำรวจเอกวชิระล่อซื้อน้ำยาเคมีล้างกระดาษสีดำให้กลายเป็นธนบัตรดอลลาร์สหรัฐที่เป็นของปลอมจากจำเลย แล้วจำเลยพาพันตำรวจเอกวชิระไปยังที่เกิดเหตุเพื่อดูธนบัตรปลอม พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่า จำเลยต้องการแสดงให้เห็นว่าธนบัตรปลอมดังกล่าวมีสภาพเหมือนธนบัตรจริงโดยจำเลยเก็บธนบัตรปลอมนั้นไว้ในบ้านของตนเองเป็นจำนวนมากในลักษณะที่พร้อมจะนำออกมาใช้เองหรือมอบต่อให้ผู้อื่นใช้ดังเช่นธนบัตรจริง กับนำออกแสดงต่อพันตำรวจเอกวชิระเพื่อให้หลงเชื่อหรือสนใจจะซื้อน้ำยาเคมีจากจำเลยด้วย อันถือเป็นการมีธนบัตรปลอมไว้ในครอบครองเพื่อนำออกใช้แล้ว โดยมิพักต้องคำนึงถึงว่าธนบัตรปลอมดังกล่าวจะเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด อีกทั้งข้อนำสืบของจำเลยที่อ้างว่าธนบัตรปลอมดังกล่าวเป็นของนายบุญธรรมที่บรรจุใส่กระเป๋าแล้วนำมาฝากไว้กับจำเลยโดยจำเลยไม่เคยเปิดกระเป๋าและไม่ทราบว่ามีธนบัตรปลอมของกลางบรรจุอยู่ภายในกระเป๋านั้น จำเลยเพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความกล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ โดยปราศจากพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนบัตรปลอมของกลางมีจำนวนมากถึง 5,637 ฉบับ จึงย่อมขัดต่อวิสัยของปุถุชนที่จะรับฝากกระเป๋าที่บรรจุสิ่งของจำนวนมากเช่นนั้นไว้กับตัวโดยที่ไม่ทราบหรือสอบถามว่าสิ่งของนั้นคืออะไร ข้ออ้างของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักเพียงพอให้เชื่อโดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำคุกจำเลยเบาลงหรือไม่ เห็นว่า แม้ธนบัตรปลอมของกลางจะมีจำนวนมาก แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าของกลางยังคงถูกเก็บรักษาอยู่ภายในบ้านจำเลยอย่างมิดชิด ประกอบกับคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจพบการกระทำความผิดของจำเลยเพราะปฏิบัติการล่อซื้อน้ำยาเคมีล้างกระดาษ หาใช่การล่อซื้อธนบัตรปลอมไม่ ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าจำเลยกำลังจะนำธนบัตรปลอมออกใช้ให้เป็นที่แพร่หลายต่อสาธารณชนอันจะเป็นภัยร้ายแรงแก่สังคมในระยะเวลาอันใกล้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 7 ปี จึงนับเป็นโทษที่หนักเกินกว่าสภาพความผิด ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เห็นสมควรกำหนดโทษจำคุกจำเลยให้เบาลง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5