โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91, 277, 310, 318
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 318 วรรคสาม เป็นความผิดสองกรรม ลงโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุกคนละ 3 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท รวมจำคุกคนละ 5 ปี และปรับคนละ 20,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือนและปรับคนละ 10,000 บาท ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่พาจำเลยที่ 2 กับผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งเท่านั้น มิได้ลงมือข่มขืนผู้เสียหายที่ 1 ด้วย และจำเลยที่ 2 กับผู้เสียหายที่ 1 ก็เป็นคนรักใคร่ชอบพอกันทั้งผู้เสียหายทั้งสองได้รับชดใช้ค่าเสียหายจนไม่ติดใจเอาความแล้ว โทษจำคุกจำเลยทั้งสองจึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม จำคุก 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสามให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 2 ปี 8 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง เท่านั้นมิใช่เป็นการพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสอง นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยที่ 2 รักใคร่กันฉันชู้สาว แต่ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้ไปแจ้งให้ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ด้วยกันตามลำพังในยามวิกาลทราบว่าผู้ปกครองของผู้เสียหายที่ 1 กำลังติดตามหาผู้เสียหายที่ 1 ยิ่งไปกว่านั้นจำเลยที่ 1 ยังขับรถพาจำเลยที่ 2 และผู้เสียหายที่ 1 ไปหลบอยู่ที่หมู่บ้านเขาชะอมเพื่อให้พ้นจากการติดตามหาตัวผู้เสียหายที่ 1 พบ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 27 ปี เป็นผู้ใหญ่กว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งอายุ 17 ปีเศษ และผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอายุเพียง 14 ปีเศษจำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีว่าโดยพฤติการณ์และในสภาวะที่จำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 ไปตามลำพังเช่นนั้น ย่อมเป็นโอกาสที่จำเลยที่ 2 จะล่วงเกินทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นอย่างไรก็ตามสำหรับความผิดในข้อหานี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม จำคุกคนละ 3 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งเพราะเหตุรับสารภาพ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท และรอการลงโทษให้ โจทก์อุทธรณ์สำหรับความผิดข้อหานี้เพียงว่าไม่ควรรอการลงโทษแก่จำเลยทั้งสอง ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีอำนาจหยิบยกปัญหาที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษความผิดข้อหาดังกล่าวมาไม่ถูกต้องขึ้นวินิจฉัยเองโดยพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม อันเป็นการปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องลงโทษแก่จำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเสียใหม่ด้วย สูงกว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยทั้งสอง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองให้หนักขึ้น จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ฉะนั้น แม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย โดยให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองสำหรับข้อหานี้ และเห็นสมควรไม่ลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุ 17 ปีเศษให้แก่จำเลยที่ 2 ในข้อหานี้ เพราะเป็นกรณีที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองกับจำเลยทั้งสองตกลงกันได้โดยฝ่ายจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองแล้ว และฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองแถลงไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองประกอบกับตามพยานเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ซึ่งทนายจำเลยทั้งสองส่งต่อศาลประกอบการถามค้านผู้เสียหายที่ 1 น่าเชื่อว่า ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ผูกสมัครรักใคร่กันฉันชู้สาวจริง จึงมีเหตุควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งสองแต่สมควรกำหนดโทษปรับด้วยและเพื่อให้โทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเหมาะสมแก่ความผิด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษปรับสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงแก่จำเลยที่ 2 เช่นกัน"
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ให้บังคับโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 15,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามและลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว ลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 5,000 บาท รวมลงโทษจำเลยที่ 2 ทั้งสองข้อหาจำคุก 2 ปี 10 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกจำเลยทั้งสองให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2