โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 2 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยไม่ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 18 ปีเศษ เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 16 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามฟ้อง ข้อ 1.3 ถึง 1.8 ด้วย รวม 6 กรรม ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 8 เดือน รวม 6 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 48 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้ว จำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี 64 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้เถียงว่า ผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุตรของผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปบ้านของจำเลยแล้วพาไปนอนที่รีสอร์ท โดยผู้เสียหายที่ 1 เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 1 ครั้ง โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม วันที่ 18 กรกฎาคม 2562 จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นรถไฟจากสถานีรถไฟชุมแสงไปอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ไปที่บ้านพักคนงานของจำเลย ในเวลากลางคืนจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 1 ครั้ง โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม ระหว่างวันที่ 19 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 จำเลยออกไปทำงานพร้อมผู้เสียหายที่ 1 และกลับมาที่บ้านพักคนงานของจำเลยพร้อมกัน ในเวลากลางคืนของทุกวันจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม วันละ 1 ครั้ง สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า หากศาลฎีกาจะกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติของจำเลย จำเลยก็พร้อมปฏิบัติตาม อันเป็นฎีกาในทำนองขอให้ศาลรอการลงโทษจำคุกจำเลยมานั้น ข้อฎีกาดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า แม้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 17 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 วันละ 1 ครั้ง และในแต่ละครั้งจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาอย่างเดียวกันคือกระทำชำเราก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 ต่างวันต่างวาระกัน การกระทำชำเราเสร็จแต่ละครั้ง เป็นความผิดสำเร็จในแต่ละคราว การกระทำความผิดของจำเลยไม่ได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกัน ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.8 ว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 รวม 7 ครั้ง และมีคำขอท้ายฟ้องโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และให้ศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น และเมื่อความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ ก็ควรลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามให้เป็นอย่างเดียวกัน ไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลยเพราะจะเป็นการลักลั่นไม่เหมาะสมที่กระทงหนึ่งลงโทษจำคุก แต่อีกกระทงหนึ่งรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน