โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่  1  ที่  2 เป็นบุตรนายจูนางเขียว โดยนายจู นางเขียวมีบุตรชายหญิงรวม  6  คน  รวมทั้งโจทก์ที่  1  ที่  2  พระครูธรรมธรซึ่งเป็นพระภิกษุ โจทก์ที่  3  เป็นบุตรสะใภ้ของนายจูนางเขียวโดยเป็นภรรยานายเกี้ยวซึ่งวายชนม์ไปแล้ว โจทก์ที่  3  จึงเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายเกี้ยว นายจูนางเขียวได้วายชนม์แล้ว เมื่อมีชีวิตอยู่มีทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้อง ทรัพย์หมายเลข 1  นายเขียวยกให้โจทก์ไปแล้ว ทรัพย์หมายเลข  2  บรรดาทายาทของนางเขียวได้ตกลงแบ่งกัน ทรัพย์หมายเลข  3  ทายาททุกคนปกครองร่วมกัน โจทก์มีความประสงค์ขอแบ่งเป็น  4  ส่วนเท่า ๆ กัน โจทก์  3  ส่วน จำเลย  1  ส่วนจำเลยไม่ยอมแบ่ง จำเลยได้บุกรุกเข้าไปตัดฟันไม้ไฝ่สีสุกในที่ดินหมายเลข  3  ไปขายเอาเงินเสียแต่ผู้เดียวเป็นเงิน  3,600  บาท  โจทก์ขอแบ่งตามส่วน จำเลยไม่แบ่งให้ ขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์หมายเลข  3 ให้แก่โจทก์  3  ส่วน ถ้าไม่สามารถแบ่งกันเองได้ ให้ประมูลขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์  3  ส่วน กับแบ่งไม้ไผ่ที่จำเลยตัดไป ให้แก่โจทก์  3  ใน  4  ส่วน  ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้จำเลยใช้เงินค่าไม้ไผ่  2,700  บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดก  3  ส่วน  เพราะนายจูนางเขียวมีบุตร  6  คน  ทรัพย์อันดับ  3  เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียวเพราะจำเลยเป็นผู้บุกเบิกถางป่า
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายจูนางเขียวมีทายาทตามบัญชีเครือญาติ  6  คน  แต่พระครูธรรมธรไม่ได้สึกมาจากพระมารับมรดกจนบัดนี้ ทายาทที่ได้รับมรดกรายนี้จึงมี 5  คน  โจทก์ควรได้ส่วนเพียง  3  ใน  5  ส่วนพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับ  3  ให้โจทก์  3  ใน  5  ส่วน กับให้จำเลยแบ่งไม้ไผ่ที่ตัดไป 3  ใน  5  ส่วนของไม้ไผ่  800  ลำ หรือชำระราคาไม้ไผ่ 1,440  บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายจูนางเขียวจริงและเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันว่าจำเลยตัดไม้ไผ่ไปเพียง  800  ลำ เป็นผลดีแก่จำเลยแล้ว
ได้ความว่านายจูนางเขียวมีบุตรตามบัญชีเครือญาติ  6  คน  บุตรของนายจูนางเขียวทุกคนเว้นแต่พระครูธรรมธร (ไซ่) ซึ่งบวช เป็นพระภิกษุอยู่ได้ร่วมกันครอบครองมรดกรายนี้ตลอดมา ต่อมานายเกี้ยวบุตรของนายจูนางเขียวได้ถึงแก่ความตาย มรดกของนายจูนางเขียวที่นายเกี้ยวได้รับจึงตกเป็นของโจทก์ที่  3  ซึ่งเป็นภริยานายเกี้ยว ในฐานะเป็นผู้รับมรดกของนายเกี้ยว หาใช่ในฐานะเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายเกี้ยวดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ที่  3  ขอรับมรดกของนายเกี้ยวนั่นเอง โจทก์ที่  3  จึงมีสิทธิขอแบ่งทรัพย์มรดกรายนี้    เนื่องด้วยพระครูธรรมธรซึ่งเป็นบุตรของเจ้ามรดกบวชเป็นพระภิกษุอยู่ จึงมีประเด็นวินิจฉัยว่าจะแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกรายนี้เป็น 5  ส่วนหรือ  6  ส่วน  ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาในที่ประชุมใหญ่ในประเด็นข้อนี้แล้วมีมติว่า พระภิกษุมีสิทธิรับมรดกในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมได้ แต่ถ้าจะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกแล้วต้องสึกจากสมณเพศมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 สำหรับคดีนี้ได้ความว่าพระครูธรรมธรได้บวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อนนางเขียวเจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาจนบัดนี้เป็นเวลา  20  ปี แล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดกรายนี้เลย คงมีแต่โจทก์จำเลยและนายสรวงครอบครองร่วมกันมา โจทก์จำเลยและนายสรวงย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่า ๆ กัน จึงให้แบ่งทรัพย์มรดกรายนี้ออกเป็น  5  ส่วน  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าให้แบ่งทรัพย์มรดกรายนี้ให้แก่โจทก์  3  ส่วน ใน  5  ส่วนนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน