โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตระเวนชายแดน ได้เบียดบังยักยอกอาวุธปืน ฯลฯ ของทางราชการที่จำเลยได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษา โดยนำไปขายให้ผู้อื่นเอาเงินเป็นประโยชน์ของจำเลยอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 158, 352 และ 353 และสั่งคืนของกลางแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยให้การว่าได้ยักยอกทรัพย์จริง แต่ยักยอกในฐานะบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ให้จำคุก 6 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์ในการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 4 ปี ของกลางคืนเจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 158, 352และ 353 รวม 6 มาตรา ในความผิดเดียวกัน เป็นฟ้องที่โจทก์ไม่แน่ใจว่าจำเลยมีความผิดสถานใดหรือมาตราใด ขอให้ศาลเลือกลงโทษเสียเองและการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 147 โดยโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้โดยชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เป็นการลงโทษเกินคำขอ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดมาโดยชัดแจ้งพอที่จะเข้าใจข้อหาได้ดีว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ซึ่งเบิกมาใช้ในราชการตำรวจตระเวณชายแดนแล้วจำเลยบังอาจเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์ดังกล่าวไปโดยทุจริต และโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ขอให้ศาลลงโทษรวม 6 มาตรา อันล้วนแต่เป็นมาตราในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่บรรยายในฟ้องทั้งสิ้น การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดต้องตามมาตราใดใน 6 มาตรานี้หรือไม่ ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลจะพึงเลือกปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ ฟ้องโจทก์จึงหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 นั้น ก็เป็นการลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณา ซึ่งโจทก์สืบสมตามข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง และโจทก์ได้อ้างมาตรานี้เป็นบทลงโทษมาในฟ้องด้วยแล้ว หาได้พิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่
พิพากษายืน