โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการจัดการมรดกของจำเลย ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11289, 29865, 12044 และ 11290 และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลยี่ห้ออีซูซุ กลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตายโดยไม่มีภาระติดพันใด ๆ ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้โจทก์ครึ่งหนึ่งหรือเป็นเงิน 673,950 บาท หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ ให้นำทรัพย์มรดกออกประมูลขายกันเองระหว่างทายาท หากประมูลระหว่างทายาทไม่ได้ ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกดังกล่าวทั้งหมด
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11289, 29865, 12044 และ 11290 โดยปลอดจากการจำนองและภาระผูกพันใด ๆ และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลยี่ห้ออีซูซุ ให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกประมูลขายกันเองระหว่างทายาท หากประมูลระหว่างทายาทไม่ได้ ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งจำนวน 673,950 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า นอกจากโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้แล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหายักยอกตามคดีหมายเลขดำที่ 3604/2555 ของศาลชั้นต้นด้วย ซึ่งทั้งคดีนี้และคดีอาญาดังกล่าว จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ทายาทของผู้ตาย ดังนั้น คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ โดยตกลงกันว่า หากคดีอาญาดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์ไม่ใช่ทายาทของผู้ตายไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ยอมแพ้คดี แต่หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์เป็นทายาทของผู้ตาย จำเลยยินยอมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11289, 29865, 12044 และ 11290 โดยปลอดจากจำนองและภาระผูกพันใด ๆ และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลยี่ห้ออีซูซุ ให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเด็กชาย ป. บุตรของจำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย ส่วนจำเลยไม่ขอรับที่ดินทั้งสี่แปลงและรถยนต์บรรทุกตามฟ้อง ต่อมาคดีอาญาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นบุตรผู้ตายจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีอาญาผูกพันจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3604/2555 ของศาลชั้นต้น เป็นข้อแพ้ชนะคดีนี้แทน ถือเป็นกระบวนพิจารณาที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดี เพราะเป็นคำท้าที่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีอาญาซึ่งมีคู่ความรายเดียวกันและในมูลกรณีเดียวกันกับคดีนี้ จึงเป็นคำท้าที่ชอบด้วยกฎหมายมีผลผูกพันคู่ความและศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามคำท้านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีอาญาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นบุตรผู้ตายจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีอาญาดังกล่าววินิจฉัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคดีครอบครัวด้วย แต่การที่คู่ความตกลงกันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะคดีนี้แทนและจำเลยยื่นคำร้องในคดีอาญาดังกล่าวขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่บุตรของผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้อง กรณีถือได้ว่า จำเลยยอมรับอำนาจศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีอาญาแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลย โดยจำเลยจะยกขึ้นมาโต้แย้งภายหลังไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ