โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 และ 266
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 266 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานปลอมลายมือชื่อและชื่อสกุลของโจทก์ในหนังสือสัญญาขายที่ดินตามฟ้องหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง แล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ขาดองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ศาลชั้นต้นชอบที่จะต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 แล้วพิพากษายืนยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยเหตุคนละเหตุกับศาลชั้นต้น คู่ความก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ข้อ 2.1 ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) มานั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยพิพากษายกฎีกาของโจทก์