โจทก์โดยส่วนตัวและรับมอบอำนาจจาก อ. ฟ้องว่า อ. และจำเลยที่ 1 กับพวกบุคคลอื่นมีหุ้นส่วนร่วมกันในห้างหุ้นส่วน 2 รายซึ่งต่อมาได้เลิกและตั้งผู้ชำระบัญชี อ. ได้โอนหุ้นส่วนและมอบอำนาจให้โจทก์ ๆ ได้ขอถอดถอนผู้ชำระบัญชีตามคดีแดงที่ 14/2490 และศาลได้สั่งให้ยึดทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนรายนี้ไว้ก่อนมีคำพิพากษาจำเลยทั้ง 3 ได้สมคบกัน โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ได้แต่งให้ทนายความทำคำร้องขัดทรัพย์โดยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ ยื่นต่อศาลในคดีดังกล่าวว่ายางที่ยึดไว้นั้น จำเลยที่ 1 ได้ขายให้จำเลยที่ 2 แล้ว และจำเลยทั้ง 3 ได้เบิกความเท็จต่อศาลประกอบคำร้องขัดทรัพย์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158, 155, 156, 63, 65, 70, 71 แก้ไขเพิ่มเติมไต่สวนมูลฟ้องแล้วศาลสั่งคดีมีมูล จำเลยให้การปฏิเสธและตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันว่า ที่จำเลยร้องขัดทรัพย์ไม่ผิดมาตรา 158 คดีอาญาผู้เสียหายจะมอบให้บุคคลอื่นฟ้องแทนไม่ได้ (ฎีกาที่ 892/2478) ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนคนอื่นให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วน ที่โจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวจึงไม่ใช่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง โดยไม่จำต้องพิจารณาข้อเบิกความเท็จ
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ห้างหุ้นส่วนรายนี้หาได้จดทะเบียนไม่ เมื่อได้มีมติให้เลิกและตั้งผู้ชำระบัญชี ความเป็นหุ้นส่วนก็สิ้นสุดลงจะนำมาตรา 1249, 1040 มาใช้ไม่ได้ที่มีการชำระบัญชีเพื่อชำระหนี้สินและจัดสรรปันส่วนให้เสร็จเท่านั้น เมื่อห้างหุ้นส่วนเลิกกันแล้ว อ. ย่อมขายสิทธิในหุ้นส่วนให้โจทก์ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนคนอื่น โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องคดีในฐานะส่วนตัวได้ ส่วนจะฟ้องในฐานะรับมอบอำนาจจาก อ.ได้หรือไม่ยังไม่จำต้องวินิจฉัย ชั้นนี้เป็นแต่วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้อง ไม่สมควรวินิจฉัยไปก่อนว่า จำเลยจะผิด มาตรา 158 หรือไม่ส่วนฎีกาจำเลยที่คัดค้านมาแต่ชั้นอุทธรณ์นั้นเห็นว่า ทนายโจทก์ลงชื่อในอุทธรณ์แทนตัวโจทก์ได้ เพราะใบแต่งทนายได้ให้อำนาจทนายโจทก์ใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่