โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โจทก์ยื่นฟ้องนายเฉลิม กับจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ ให้รับผิดชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2280/2562 ของศาลชั้นต้น นายเฉลิมและจำเลยทั้งสองให้การว่า นายเฉลิมไม่เคยแต่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทน และจำเลยทั้งสองไม่ได้แต่งตั้งโจทก์เป็นนายหน้าในการขายที่ดิน โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการชี้ช่องให้ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายเฉลิม ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทรวม 3 ประเด็นว่า นายเฉลิมตั้งหรือเชิดจำเลยทั้งสองให้เป็นตัวแทนในการขายที่ดินพิพาทหรือไม่ สัญญานายหน้าระหว่างโจทก์กับนายเฉลิมเกิดขึ้นหรือไม่ และโจทก์ได้ชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้ซื้อที่ดินทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับนายเฉลิมหรือไม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 จำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นตัวแทนในการขายที่ดินของนายเฉลิมและมิได้แต่งตั้งโจทก์เป็นนายหน้าในการขายที่ดิน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า นายเฉลิมเชิดจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยินยอมให้จำเลยทั้งสองเชิดตนเองแสดงออกเป็นตัวแทนของนายเฉลิมในการตกลงซื้อขายที่ดินทั้งเจ็ดแปลง จึงถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนของนายเฉลิม ซึ่งนายเฉลิมในฐานะตัวการย่อมต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ตามข้อตกลง ส่วนจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนเชิดไม่ต้องรับผิด คดีรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของนายเฉลิมยอมให้โจทก์เป็นนายหน้าในการขายที่ดินของนายเฉลิมโดยมีข้อตกลงให้บำเหน็จแก่โจทก์จริง แต่โจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า โจทก์ได้ชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขายที่ดินกันแล้ว และข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของนายเฉลิมและจำเลยทั้งสองว่า มีการยกเลิกการติดต่อซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นนายหน้ากับจำเลยที่ 2 ที่กระทำแทนนายเฉลิมเจ้าของที่ดินแล้ว การซื้อขายที่ดินเกิดจากการติดต่อระหว่างผู้ซื้อกับนายเฉลิมในภายหลัง จึงไม่อาจถือได้ว่าการซื้อขายที่ดินได้ทำสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ซึ่งเป็นนายหน้าได้ชี้ช่อง โจทก์มิได้เป็นผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายเฉลิมแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จนายหน้าจากนายเฉลิม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์มีมูลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก บัญญัติว่า "ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษ..." เห็นได้ว่า การที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น นอกจากต้องได้ความว่า บุคคลที่ถูกฟ้องเข้าเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลแล้ว ยังต้องได้ความด้วยว่าความเท็จที่เบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ได้ความจากโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2280/2562 ว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นตัวแทนของนายเฉลิม และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ แต่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้าน ประกอบคำร้องในชั้นขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล คำฟ้องคดีล้มละลาย ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ คำแก้อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 คำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ไม่ขอเข้าว่าคดีแทน และรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2280/2562 ของศาลชั้นต้นว่า ในคดีแพ่งดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์และขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงพิพากษาเพิกถอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และยกอุทธรณ์ของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้วมีคำสั่งตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำเบิกความและเข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2280/2562 ซึ่งโจทก์นำมาเป็นมูลเหตุในการฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2562 แล้ว อันมีผลให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาเพิกถอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งรวมทั้งคำเบิกความเป็นพยานของจำเลยทั้งสอง และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยยื่นคำเบิกความและเข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมาก่อนเลย จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีอันจะมีมูลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก หรือไม่ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูล และพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน