โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ ๑ ต่อมาศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ไว้ชั่วคราว หลังจากนั้นโจทก์ยังคงทำงานให้แก่จำเลยที่ ๑ ต่อไป จนกระทั่งจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ได้บอกเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๑ ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีหนึ่งแล้ว บรรดากิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ตกอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียว ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวแล้วจำเลยที่ ๑ ก็ไม่อาจดำเนินกิจการมีผลให้พนักงานจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถทำงานต่อไปได้เป็นไปโดยผลของกฎหมายมิใช่เป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ บอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิทธิหรือมูลหนี้ในเงินค่าชดเชยจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานแล้ว มิใช่เกิดก่อนมีการเลิกจ้างก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวของจำเลยที่ ๑ ยังมิได้มีการเลิกจ้างโจทก์แต่อย่างใด มูลแห่งหนี้จึงเกิดขึ้นภายหลังจากการสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวจึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจขอรับได้ในคดีล้มละลายตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา ๒๖ และจำเลยที่ ๒ ไม่จำต้องเข้าดำเนินคดีแทนจำเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา ๒๕ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจนำทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ในคดีล้มละลายมาชำระหนี้ต่อโจทก์ในคดีนี้ได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ล้มละลาย และโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช ๒๔๘๓ แล้ว
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะที่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้วย่อมหมดอำนาจที่จะดำเนินกิจการงานของตนต่อไปก็จริง แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะจัดการหรือกระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไปแทนลูกหนี้ หามีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าลูกจ้างของลูกหนี้หมดสิทธิที่จะทำงานให้ลูกหนี้ต่อไปไม่ ดังจะเห็นได้ว่า ในคดีนี้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราววันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๗ โจทก์ก็ยังทำให้ลูกหนี้และได้รับค่าจ้างเรื่อยมาจนถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๗ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงแจ้งให้โจทก์หยุดทำงาน ดังนี้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ เลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมายแรงงานจึงชอบแล้ว ส่วนเงินค่าชดเชยซึ่งกฎหมายแรงงานบังคับให้จำเลยที่ ๑ ต้องจ่ายให้โจทก์นั้นเกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วย่อมเห็นได้ว่าเป็นหนี้ที่ไม่อาจขอรับชำระได้ตามมาตรา ๙๔ แต่เมื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการกิจการทรัพย์สินแทนจำเลยที่ ๑ แล้วเกิดมีเงินที่กฎหมายบังคับให้จ่ายเกิดขึ้น จำเลยที่ ๒ ก็มีหน้าที่ต้องเอาเงินของจำเลยที่ ๑ จ่ายแทนจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒
พิพากษายืน