โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 29, 29 ทวิ, 71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 4, 16, 24, 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2509 (ที่ถูก พ.ศ.2504) มาตรา 16 (2) (13), 24, 27 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 29, 29 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 29 วรรคหนึ่ง, 29 ทวิ วรรคหนึ่ง), 71 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งของป่าหวงห้ามเกินปริมาณที่กำหนด จำคุก 6 เดือนและปรับ 4,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 14,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือนและปรับ 7,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ในกำหนด 1 ปี ให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ 24 ชั่วโมง (ที่ถูก ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง และให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติไม่รอการลงโทษ ไม่ลงโทษปรับ และไม่คุมความประพฤติ ในเรื่องเงินสินบนนำจับให้จ่ายจากค่าปรับโดยจำเลยไม่ต้องเป็นผู้จ่ายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกในความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาตินั้น เห็นว่า คดีนี้ชิ้นไม้กฤษณาและกฤษณาของกลางมีจำนวน 10 กิโลกรัม ซึ่งเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ ทั้งโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็เป็นเพียงโทษจำคุกระยะสั้น การรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจ่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่า ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับในความผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในเขตอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 นั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ไม่ได้ให้อำนาจศาลที่จะสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับได้ดังเช่นพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่เงินสินบนนำจับให้จ่ายกึ่งหนึ่งของเงินค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยจ่ายจากเงินค่าปรับที่จำเลยชำระเงินต่อศาลเฉพาะความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งของป่าหวงห้ามเกินปริมาณที่กำหนดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484