โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าสิบแปดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบของกลาง
จำเลยทั้งห้าสิบแปดให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้าสิบแปดมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 (ที่ถูก มาตรา 4 วรรคสอง, 12 (2)) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18 (ที่ถูก มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งห้าสิบแปดเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 8 ลงโทษฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่และฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ จำคุก 2 เดือน ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ปรับ 6,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 58 ลงโทษฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ ปรับคนละ 2,000 บาท ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ปรับคนละ 6,000 บาท จำเลยทั้งห้าสิบแปดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละคนละกึ่งหนึ่ง ลงโทษจำเลยที่ 8 ฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่และร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ จำคุก 1 เดือน ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ปรับ 3,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 8 มีกำหนด 1 เดือน และปรับ 3,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 58 ฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ ปรับคนละ 1,000 บาท ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ปรับคนละ 3,000 บาท รวมปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 8 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้เปลี่ยนโทษจำคุก 1 เดือน เป็นกักขังแทน 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยที่ 8 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 8 ความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่และฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 8 ฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่เพียงกรรมเดียว ส่วนจำเลยทั้งห้าสิบแปด ความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่กับฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับจำเลยทั้งห้าสิบแปดคนละ 6,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับคนละ 3,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 8 เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นกักขัง 1 เดือน และปรับ 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 8 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 8 ประการแรกว่า การกระทำของจำเลยที่ 8 มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 การพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 1 คือ การเล่นต่าง ๆ ซึ่งให้สัตว์ต่อสู้หรือแข่งกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา แข่งม้า ฯลฯ ดังนั้นเมื่อคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องชัดว่า จำเลยที่ 8 ร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ อันเป็นการพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 1 พนันเอาทรัพย์สินกัน ด้วยวิธีการถ่ายทอดสดการพนันชนไก่ที่ทำการชนกัน ณ บริเวณฟาร์มไก่ชน ป. หมู่ที่ 6 มายังที่เกิดเหตุ ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 8 เป็นเจ้าบ้านผู้จัดให้มีการเล่นขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์และเป็นผู้เข้าร่วมเล่น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 ข้อหาความผิดตามที่โจทก์ฟ้องมิใช่เป็นข้อหาความผิดที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยที่ 8 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 8 ย่อมรับฟังเป็นยุติได้ตามที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 8 ร่วมกันเล่นการพนันชนไก่เอาทรัพย์สินกันด้วยวิธีการถ่ายทอดสดการพนันชนไก่ที่ทำการชนกัน ณ บริเวณฟาร์มไก่ชน ป. หมู่ที่ 6 มายังที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 8 เป็นเจ้าบ้านผู้จัดให้มีการเล่นขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์และเป็นผู้เข้าร่วมเล่น อันเป็นการเล่นที่มีลักษณะที่ผู้เล่นเสี่ยงต่อการได้และเสียอันเป็นการเล่นพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 1 แล้ว หาใช่จำต้องเป็นการเล่นพนันชนไก่ที่จะต้องเป็นการชนไก่ที่มีชีวิตในสถานที่ดังกล่าวตามที่จำเลยที่ 8 อ้างไม่ การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นกรณีที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 บัญญัติให้เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ฎีกาของจำเลยที่ 8 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 8 ประการต่อไปว่า โจทก์บรรยายฟ้องชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันชนไก่ด้วยวิธีการถ่ายทอดสดการพนันชนไก่ เป็นผู้เข้าร่วมเล่น และเป็นผู้ชุมนุมทำกิจกรรมและมั่วสุมร่วมกันลักลอบเล่นการพนันชนไก่บริเวณร้าน ฮ. หมู่ที่ 3 ซึ่งเป็นสถานที่แออัดในเขตพื้นที่ที่ได้มีการประกาศกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 8 ได้กระทำความผิดถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับความเสียหายและบุคคลใดได้รับความเสียหายที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 8 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เมื่อจำเลยที่ 8 ให้การรับสารภาพ แสดงว่าจำเลยที่ 8 เข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ดี เป็นฟ้องที่บรรยายครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 8 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 8 ประการต่อไปว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 8 ในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 8 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันชนไก่ด้วยวิธีการถ่ายทอดสดการพนันชนไก่ เป็นผู้เข้าร่วมเล่น และเป็นผู้ชุมนุมทำกิจกรรมและมั่วสุมร่วมกันลักลอบเล่นการพนันชนไก่บริเวณร้าน ฮ. หมู่ที่ 3 ซึ่งเป็นสถานที่แออัดในเขตพื้นที่ที่ได้มีการประกาศกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกโดยมีเหตุแห่งคำวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 8 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันชนไก่กัน จนจำเลยทั้งห้าสิบแปดกับพวกที่ยังหลบหนีร่วมกันชุมนุม ทำกิจกรรม หรือมั่วสุมเล่นการพนันชนไก่พนันเอาทรัพย์สินกันบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสถานที่แออัด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าวในลักษณะสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ย่อมเป็นการวินิจฉัยถึงพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 8 กระทำผิดและจำเลยที่ 8 ให้การรับสารภาพ หาใช่เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 (5) และ 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 8 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 8 ประการต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ริบของกลางคือกล่องรับสัญญาณไวไฟ 1 กล่อง กล่องบันทึกภาพวงจรปิด 1 กล่อง และโทรทัศน์สียี่ห้อซัมซุง ขนาด 82 นิ้ว 1 เครื่อง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าสิบแปดร่วมกันกระทำความผิดโดยร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ พนันเอาทรัพย์สินกันด้วยวิธีการถ่ายทอดสดจากบริเวณฟาร์มไก่ชน ป. หมู่ที่ 6 มายังที่เกิดเหตุโดยใช้ของกลางดังกล่าวเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันเป็นของกลางซึ่งข้อหาความผิดตามที่โจทก์ฟ้องมิใช่เป็นข้อหาความผิดที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยที่ 8 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญา ในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 8 ย่อมรับฟังเป็นยุติได้ตามที่โจทก์ฟ้องว่า กล่องรับสัญญาณไวไฟ 1 กล่อง กล่องบันทึกภาพวงจรปิด 1 กล่อง และโทรทัศน์สียี่ห้อซัมซุง 1 เครื่อง เป็นทรัพย์สินที่ใช้ดูภาพที่ถ่ายทอดสดการชนไก่จากที่แห่งหนึ่งมายังที่เกิดเหตุโดยเฉพาะเพื่อใช้ในการร่วมเล่นการพนัน ทรัพย์สินของกลางดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนัน ซึ่งศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ริบทรัพย์สินดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 8 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในส่วนความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 8 เป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกัน กล่าวคือ การจัดให้มีการเล่นก็โดยเจตนาเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 8 จัดให้มีการเล่น จำเลยที่ 8 ก็ได้ผลประโยชน์แห่งตนแล้ว ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 8 เข้าร่วมเล่นการพนันอยู่ด้วย เป็นการที่จำเลยที่ 8 มีเจตนาเข้าพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นกับผู้ร่วมเล่นคนอื่น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ 8 จึงมีความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่ไม่อาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 8 ได้ทุกกระทงความผิด เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 8 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 จำเลยที่ 8 จึงมีความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่และฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 8 ฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่เพียงกรรมเดียว ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว แต่สำหรับความผิดต่อพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกความผิดของจำเลยที่ 8 ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน กับความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่มาคนละข้อต่างหากจากกันและความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ประกอบกับจำเลยที่ 8 ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 8 ร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมและมั่วสุมกันในที่เกิดเหตุ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้ชุมนุมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดก็โดยมีเจตนาเพื่อจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่และเข้าร่วมเล่นการพนันอยู่ด้วย ดังนั้น ความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมในสถานที่แออัดกับความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่ และร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ ก็ยังคงเป็นการกระทำความผิดโดยเกิดจากเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 8 ในส่วนนี้จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดโทษจำเลยที่ 8 ในความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่กับฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับ 6,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 3,000 บาท เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นกักขัง 1 เดือน และปรับ 3,000 บาท อันเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยที่ 8 เป็นหลายกรรมมานั้นไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 มาตรา 225 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทให้ถูกต้องได้และเห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 8 ความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่และฐานร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 8 ฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่เพียงกรรมเดียว ส่วนความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่กับฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 8 มีกำหนด 1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุก 1 เดือน เป็นกักขังแทน 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7