โจทก์ฟ้อง? ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒,๖๑๒,๙๕๒.๓๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๘๙๑,๑๗๒.๘๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒,๑๐๙,๓๐๘.๗๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑,๘๐๑,๐๖๖.๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้หักเงินจำนวน ๓๔๐,๐๖๑.๗๕ บาท ออก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า? ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สี่มีว่า หลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน ๓๕ ฉบับ เกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอมหรือไม่ และบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดอันจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่? ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน ๓๕ ฉบับนั้น เกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอม ประกอบกับตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตกำหนดให้เป็นหน้าที่ของร้านค้าต้องตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของบัตรเครดิต ชื่อผู้ถือบัตร เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขที่หนังสือเดินทาง และประเทศที่ออกหนังสือเดินทางด้วย แต่จำเลยมิได้กระทำการดังกล่าว ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าการขายสินค้าของจำเลยเป็นการปฏิบัติไปตามปกติที่เคยกระทำมา และไม่ใช่ความผิดของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ ส่วนข้อที่ว่าความรับผิดของจำเลยเป็นความรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด ชื่อบัญชี รามาคอลเลคชั่น บัญชีเลขที่ ๐๔๐-๓-๐๒๐๐๕-๗ ต่อมาจำเลยทำความตกลงกับโจทก์เพื่อเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิต ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตข้อ ๗ ตกลงให้ใช้บัญชีเดินสะพัด ชื่อบัญชี รามาคอลเลคชั่น บัญชีเลขที่ ๐๔๐-๓-๐๒๐๐๕-๗ ของจำเลยเป็นบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยในการเรียกเก็บเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปด้วย ตามข้อตกลงกำหนดให้ใช้บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัด โดยยินยอมให้โจทก์หักทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยหักกลบลบหนี้กันได้ ตามวิธีและประเพณีปฏิบัติของธนาคารเกี่ยวกับบัญชีเดินสะพัด หากจำเลยต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ แต่เงินในบัญชีไม่มีให้หักหรือมีแต่ไม่พอให้หักชำระหนี้ได้ครบจำนวน จำเลยยินยอมให้โจทก์นำหนี้ทั้งจำนวนนั้น หรือจำนวนที่คงเหลือหลังจากหักชำระแล้วนั้นลงจ่ายในบัญชีเพื่อให้เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยยินยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงินที่เป็นหนี้ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดของธนาคารด้วย นับแต่วันที่เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นต้นไป หลังจากมีข้อตกลงดังกล่าวแล้ว จำเลยได้ส่งหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน ๓๕ ฉบับ มาเรียกเก็บเงินจากโจทก์ โจทก์คิดค่าธรรมเนียมเรียกเก็บแล้วได้เอาเงินเข้าบัญชีของจำเลยตามบัญชีกระแสรายวัน? เห็นได้ว่า หลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปทั้งหมดเป็นรายการขายสินค้าระหว่างวันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๖ ซึ่งโจทก์ได้นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ทำให้ปรากฏยอดเงินคงเหลือในบัญชี ณ วันดังกล่าวว่า จำเลยเป็นเจ้าหนี้ ในระหว่างนี้จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน ๒๙ ฉบับ ถอนเงินออกจากบัญชี ทำให้ปรากฏยอดเงินคงเหลือในบัญชีว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ ดังนี้เห็นได้ว่า ข้อตกลงและการปฏิบัติต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นการกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาโดยมีการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค อันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัด จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจดูแลกิจการผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ออกทดรองไป เมื่อกฎหมายในเรื่องบัญชีเดินสะพัดมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ โจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๖ และนำยอดเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดที่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้มาหักจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ เมื่อหักทอนบัญชีกันในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน ๑,๘๐๑,๐๖๖.๖๗ บาท ต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากับจำเลยโดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ อายุความตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเริ่มนับแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๐ ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑,๘๐๑,๐๖๖.๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้หักเงินจำนวน ๓๔๐,๐๖๑.๗๕ บาท ออก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท เท่านั้น มิได้กล่าวด้วยว่านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีผลทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เป็นอันเพิกถอนไป เป็นการสั่งเกี่ยวกับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์รวม ๘,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.