โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องแถวซึ่งเดิมรวมอยู่ในบ้านทะเบียนเลขที่ 71/6  ปลูกอยู่ในที่ดินซึ่งโจทก์เช่าจากผู้มีชื่อ พ.ศ. 2499 โจทก์ที่  1  มอบให้จำเลยที่  2  ไปขอเลขหมายทะเบียนบ้านเป็นเลขทะเบียนที่ 119/36, 119/37, 119/38  ผู้ให้เช่าที่ดินเดิมถึงแก่กรรม โจทก์เช่าจากผู้จัดการมรดก ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2495  ผู้จัดการมรดกแยกโฉนดเดิม โดยห้องแถวสามห้องอยู่ในเขตโฉนดที่ 18372 ส่วนหนึ่ง และเลขที่ 18373  อีกส่วนหนึ่ง โฉนดที่ 13872 เปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่  1  จำเลยทั้งสองร่วมกันด้วยเจตนาทุจริตนำเอาความซึ่งตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่า ห้องแถว  3  ห้องที่จำเลยที่  2  เคยขอเลขทะเบียนบ้านแทนโจทก์นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่  2  จำเลยที่  2  มอบให้จำเลยที่  1  ทำนิติกรรมซื้อขายห้องแถว  3  ห้องนั้นให้แก่จำเลยที่  1  เอง แต่โจทก์ที่  2  ได้อายัดห้องเลขที่ 119/36  ไว้ต่อพนักงานสอบสวน จำเลยทั้งสองจึงทำนิติกรรมสำเร็จไปเพียง 2  ห้อง  เท่านั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนาฉ้อโกงกรรมสิทธิ์ห้องแถวเลขที่ 119/37,119/38  จากโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอย่างไร การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าห้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่  2  นั้น ไม่แสดงว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
พิพากษายืน