โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 16912 และที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวและให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 พร้อมด้วยหนังสือมอบอำนาจและเอกสารประกอบการโอนลอยคืนแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองรับชำระหนี้จากโจทก์ 297,878,333 บาท
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์ออกจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 16912 โฉนดที่ดินเลขที่ 3689 และโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวโดยให้โจทก์ออกค่าใช้จ่าย และให้โจทก์ชำระค่าเสียหายเดือนละ 650,000 บาท แก่จำเลยทั้งสองนับแต่วันที่ฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 แก่จำเลยที่ 1 หากไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 40,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 ด้วย ยกฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง 50,000 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกาคำพิพากษาและคำสั่ง โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นางมณฑายื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นภริยาและสามีกัน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 จำเลยที่ 1 มอบแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายเงิน 370,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ ในวันเดียวกันนั้น โจทก์ให้นางสาวอุราวัลย์ หลานของโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 16912 แทนโจทก์ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 วันที่ 18 กันยายน 2551 โจทก์นำเงินบางส่วนตามแคชเชียร์เช็คดังกล่าวชำระหนี้ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 1410/2548 ที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 3 ในวันเดียวกันนั้น หลังจากโจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวแล้วโจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ให้แก่จำเลยที่ 2 และวันที่ 22 กันยายน 2551 โจทก์มอบหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจพร้อมสำเนาเอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนโอนที่ดินและต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2555 จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 386/2555 คดีหมายเลขแดงที่ 218/2556 ขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินรวม 84 แปลง ที่จำเลยที่ 1 ซื้อจากโจทก์ โจทก์ให้การต่อสู้คดีว่า การซื้อขายที่ดินตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้เงิน จำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีดังกล่าว โดยโจทก์ยินยอมซื้อที่ดินตามฟ้อง 84 แปลง และที่ดินแปลงอื่นประกอบด้วยที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40580, 92482, 92484 ห้องชุดเลขที่ 149/233 บนโฉนดที่ดินเลขที่ 52242 และที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้ 2 แปลง คือที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 16912 กับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 จากจำเลยที่ 1 ในราคา 600,000,000 บาท โดยต้องชำระเงินภายในกำหนดระยะเวลาตามที่ระบุในสัญญา หากโจทก์ผิดนัดให้ถือว่าโจทก์ยอมแพ้คดีตามฟ้อง ให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องทุกประการตามกฎหมาย คดีในส่วนของโจทก์ในคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ แต่ต่อมาได้ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาต คดีในส่วนของโจทก์จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง สำหรับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 16912 จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12677 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และคดีในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คงเหลือปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เฉพาะคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 218/2556 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ หรือไม่ เห็นว่า คดีหมายเลขแดงที่ 218/2556 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย ขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดิน 84 แปลง ซึ่งไม่มีที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ที่มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวรวมอยู่ด้วย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นภริยาสามีกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยที่ 2 ด้วยก็ตาม แต่เมื่อที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 มิใช่ที่ดินพิพาทกันในคดีดังกล่าว เป็นเพียงที่ดินที่จำเลยที่ 1 เสนอขายให้แก่โจทก์รวมไปกับที่ดิน 84 แปลง ที่พิพาทกันเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทในคดีด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น เมื่อโจทก์ผิดนัดไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 ก็บังคับคดีได้เพียงที่ดินพิพาท 84 แปลง ตามฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ 218/2556 ไม่อาจบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ได้ เพราะมิใช่ส่วนหนึ่งของฟ้องในคดีดังกล่าว ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ที่ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ อันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และโจทก์มิได้ให้การต่อสู้คดีว่า มิได้อยู่ในที่ดินหรือมีสิทธิอยู่ในที่ดินอย่างไร จึงต้องฟังว่า โจทก์อยู่ในที่ดินโดยไม่มีสิทธิเป็นละเมิดต่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาล ตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นเงิน 295,000 บาท ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าทำเพื่ออำพรางการกู้เงินโดยมีที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า เป็นการทำสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ โจทก์ขายที่ดินให้โดยสมัครใจ และฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดิน โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งโดยยืนยันตามฟ้องเดิม จึงเป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินดังกล่าวว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน หากผลของคดีเป็นไปตามข้ออ้างของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นย่อมได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว คดีในส่วนนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคหนึ่ง ซึ่งตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินตกลงซื้อขายในราคาเป็นเงิน 145,000,000 บาท จึงถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทในที่ดินแปลงนี้เท่ากับจำนวนเงินที่ตกลงซื้อขายกัน มิใช่ราคาประเมิน 18,400,000 บาท ตามที่จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้ง เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ต่างอุทธรณ์ขอให้บังคับตามคำขอของแต่ละฝ่ายเช่นเดียวกันกับคำขอในศาลชั้นต้น ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นอย่างเดียวกับในศาลชั้นต้น แม้ต่อมาโจทก์จะขอถอนอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาต ก็ไม่ทำให้ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงไป จำเลยที่ 2 ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นเงิน 295,000 บาท ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในชั้นฎีกาจำเลยที่ 2 ฎีกาฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ฎีกาต่อมา ปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ และจำเลยที่ 2 จะขอให้บังคับโจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินได้หรือไม่ คดีของจำเลยที่ 2 ในชั้นฎีกาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามตาราง 1 (2) (ก) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคสอง เป็นเงิน 200 บาท แต่จำเลยที่ 2 ชำระมาเป็นเงิน 295,000 บาท เกินมา 294,800 บาท จึงคืนให้แก่จำเลยที่ 2
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 294,800 บาท แก่จำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมนอกนั้นในชั้นฎีกาให้เป็นพับ