โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหาย 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้จำเลยชดใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 กันยายน 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังยุติได้เบื้องต้นในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท จำเลยเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2559 รถยนต์พิพาทเครื่องปรับอากาศไม่เย็น โจทก์ว่าจ้างจำเลยซ่อม และในวันเดียวกันสามีของโจทก์นำรถยนต์คันพิพาทไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ ต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2559 ไม่สามารถติดเครื่องได้ โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยนำรถไปซ่อม ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์พิพาทมาจอดไว้ที่อู่เพื่อซ่อม ต่อมาวันรุ่งขึ้นพบว่าไฟไหม้บริเวณคอนโซลหน้ารถยนต์พิพาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้รถยนต์คันพิพาทต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 บัญญัติว่า "คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว" เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์พิพาทของโจทก์ไฟไหม้ คอนโซลหน้ารถได้รับความเสียหายขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลย โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นดังกล่าว โดยกรณีนี้ ไฟไหม้คอนโซลหน้ารถขณะรถยนต์พิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชอบเพราะถือว่าเป็นข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติของเหตุการณ์เป็นคุณต่อโจทก์ จำเลยมีหน้าที่ต้องพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดยจำเลยนำสืบว่านายสุมิตร ลูกจ้างจำเลยขับรถยนต์พิพาทมาถึงอู่เวลาประมาณ 18 นาฬิกา ซึ่งอู่ปิดทำการแล้ว จึงจอดรถไว้ในอู่ ปิดล็อกประตูรถเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกา พบรอยไฟไหม้บริเวณคอนโซลหน้ารถ ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรที่บริเวณมอเตอร์เครื่องปรับอากาศทำให้ไฟไหม้พลาสติกไฟเบอร์กล่องเครื่องปรับอากาศแล้วไฟลามไปตามช่องลมเครื่องปรับอากาศทะลุไปยังคอนโซล เมื่อเปิดกล้องวงจรปิดในอู่พบว่า เวลา 20.37 นาฬิกา รถยนต์พิพาทมีไฟกะพริบขึ้นแล้วมีควันไฟลอยขึ้นจากห้องโดยสาร สักครู่ควันไฟจางหายไป แต่ไฟยังกะพริบอยู่ตลอด และไม่พบผู้ใดยุ่งเกี่ยวกับรถยนต์พิพาท ซึ่งจำเลยก็จอดรถยนต์พิพาทไว้ในอู่เป็นปกติเหมือนรถยนต์คันอื่น ๆ และไม่มีผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรถยนต์พิพาท สอดคล้องกับรายงานการตรวจหาร่องรอยหลักฐานในคดีเพลิงไหม้ว่า ลักษณะของสถานที่เกิดเหตุ รถยนต์พิพาทจอดไว้ในพื้นที่อู่โดยมีกุญแจเสียบไว้ที่ช่องเสียบกุญแจโดยไม่ได้เปิดสวิตช์ทิ้งไว้ ต่อมาเวลา 20.40 นาฬิกา ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพบริเวณรถยนต์พิพาทปรากฏสัญญาณไฟเลี้ยวกะพริบขึ้นต่อเนื่องโดยไม่มีภาพบุคคลเข้าไปในบริเวณที่รถยนต์พิพาทจอดอยู่ อีกไม่นานเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นบริเวณคอนโซลด้านหน้ารถ ทั้งรายงานดังกล่าวผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุให้ความเห็นว่า เชื่อว่า เหตุของการเกิดเพลิงไหม้เกิดจากระบบไฟฟ้าหรือกลไกของอุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณตอนกลางด้านหลังของคอนโซลหน้ารถเกิดการทำงานผิดปกติหรือชำรุด จนเกิดความร้อนสะสมแล้วทำให้เกิดการลุกติดไฟขึ้นแล้วลามไหม้ในเวลาต่อมา จนเกิดความเสียหายดังที่ปรากฏ ทั้งนายนเรศ พยานโจทก์เบิกความว่า พยานจบการศึกษาชั้นปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เคยทำงานอยู่ที่ศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ และทำงานเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกของรถยนต์มาโดยตลอด กรณีรถยนต์พิพาทน่าจะเป็นการต่อไฟโดยตรงจากแบตเตอรี่เข้าสู่สวิตช์เปิดปิดรถยนต์โดยไม่มีฟิวส์คั่นกลางเพื่อตัดไฟ ดังนั้นเมื่อไฟจากแบตเตอรี่เดินเข้ามายังสวิตช์เปิดการทำงานของระบบเครื่องยนต์ขณะมีปัญหาที่ระบบไฟฟ้าของเครื่องยนต์ ความร้อนของไฟที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์จะก่อให้เกิดความร้อนสะสมและเกิดไฟช็อตหรือไฟลุกไหม้ได้ อันเป็นการสนับสนุนพยานจำเลย แสดงให้เห็นว่าไฟไหม้รถยนต์พิพาทเกิดจากระบบไฟฟ้าของรถยนต์พิพาทเอง โดยที่จำเลยไม่ได้ดำเนินการซ่อมรถยนต์พิพาทก่อนแต่อย่างใด แม้รถยนต์พิพาทมีลูกกุญแจเสียบไว้ที่ช่องเสียบกุญแจโดยไม่ได้เปิดสวิตช์ทิ้งไว้ แต่นายนเรศก็เบิกความว่าไม่มีผลทำให้ระบบไฟลัดวงจร ดังนั้น แม้ขณะเกิดเหตุไฟไหม้ รถยนต์พิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลย แต่เหตุที่ไฟไหม้เกิดจากตัวรถยนต์พิพาทเอง ไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยจึงหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้รถยนต์พิพาทต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ