คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และเรียกจำเลยทั้งสี่สำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสี่ เป็นเงิน 105,862 บาท 47,992 บาท 41,259 บาท และ 16,538 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป กับจ่ายค่าจ้างที่ค้างจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นเงิน 105,862 บาท 47,992 บาท 41,259 บาท และ 16,538 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ของค่าจ้างที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การและแก้ไขคำให้การว่าขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลาง วันที่ 24 มีนาคม 2560 จำเลยวางเงินค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่จำนวน 105,862 บาท 47,992 บาท 41,259 บาท และ 16,538 บาท ตามลำดับ โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย และเงินกองทุนประกันสังคม โจทก์ทั้งสี่ไม่ติดใจเรียกร้องในเรื่องค่าจ้างและดอกเบี้ยของค่าจ้างอีก แต่ยังติดใจเงินเพิ่มของค่าจ้างดังกล่าวและเงินโบนัสพร้อมดอกเบี้ยตามคำฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า พฤติการณ์ของจำเลยส่อแสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์ที่จะจ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่โดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้องใดที่ทำให้จำเลยไม่พร้อมที่จะจ่ายค่าจ้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่อันเป็นการจงใจไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร และระหว่างทำงานไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่บกพร่องต่อหน้าที่จนเป็นเหตุให้จำเลยไม่พิจารณาจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสี่แต่ประการใด โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิได้รับเงินโบนัสประจำปี 2559 จากจำเลย และพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินโบนัส จำนวน 105,862 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 47,992 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 41,259 บาท แก่โจทก์ที่ 3 และจำนวน 16,538 บาท แก่โจทก์ที่ 4 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยจ่ายเฉพาะเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าของยอดเงิน 105,862 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ของยอดเงิน 47,992 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ของยอดเงิน 41,259 บาท แก่โจทก์ที่ 3 และของยอดเงิน 16,538 บาท แก่โจทก์ที่ 4 โดยให้คำนวณเงินเพิ่มของยอดเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวทุกระยะเวลาเจ็ดวัน นับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 จนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2560 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ แต่เงินเพิ่มดังกล่าวเมื่อคำนวณแล้วไม่ให้เกินจำนวนที่โจทก์ทั้งสี่ขอมา ได้แก่ จำนวน 95,275.80 บาท 45,893 บาท 40,310 บาท และ 16,538 บาท ตามลำดับ
จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้และนำสืบทำนองว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ เนื่องจากโจทก์ทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลย ไม่มาทำงานโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควร ไม่ส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารคืนจำเลยและทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย กรณีจึงยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสี่โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งสี่ และเมื่อโจทก์ทั้งสี่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเงินโบนัส ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสี่บกพร่องต่อหน้าที่ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสี่ แล้วพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งสี่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
โจทก์ทั้งสี่ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันได้ความว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย ทนายความฝ่ายกฎหมายและเลขานุการฝ่ายกฎหมาย ได้รับค่าจ้างเดือนละ 105,862 บาท 47,992 บาท 41,259 บาท และ 16,538 บาท ตามลำดับ จำเลยจ่ายเงินเดือนลูกจ้างโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของลูกจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยมีคำสั่งให้ลูกจ้างทุกคนย้ายไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ แต่ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเลื่อนให้โจทก์ทั้งสี่ไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ระหว่างที่โจทก์ทั้งสี่ยังไม่ได้ไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ โจทก์ทั้งสี่ยังคงไปทำงานตามปกติที่สำนักงานเดิม จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้ลูกจ้างอื่นทุกคนแล้วยกเว้นโจทก์ทั้งสี่ เมื่อโจทก์ทั้งสี่ไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ได้ทวงเงินค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 แต่พนักงานฝ่ายการเงินไม่โอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ทั้งสี่เพราะนางสาวชวเนตร กรรมการจำเลยสั่งให้จ่ายค่าจ้างเฉพาะลูกจ้างที่ย้ายไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ภายในสิ้นเดือนมกราคม 2560 เท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลแรงงานกลาง จำเลยวางเงินค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่รับไปแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่เพียงประการเดียวว่า จำเลยจงใจไม่จ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้โจทก์ทั้งสี่โดยปราศจากเหตุผลอันสมควรอันจะทำให้โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างรายเดือนในอัตราที่แน่นอน โดยจำเลยมีหน้าที่โอนค่าจ้างเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ทั้งสี่ทุกวันสิ้นเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน จำเลยจึงมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนมกราคม 2560 โดยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ทั้งสี่ในวันที่ 31 มกราคม 2560 เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง ไม่ปรากฏว่ากิจการของจำเลยขาดทุนจนไม่มีเงินหมุนเวียนที่จะนำมาจ่ายเป็นค่าจ้าง เมื่อจำเลยได้จ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้แก่ลูกจ้างอื่นทุกคนแล้วแสดงว่าจำเลยมีความพร้อมที่จะจ่ายค่าจ้างเดือนดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่ได้ด้วย ทั้งจำเลยมิได้โต้แย้งเรื่องจำนวนค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ที่จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายให้โจทก์ทั้งสี่ก่อนหรือภายในวันที่ 31 มกราคม 2560 อันเป็นวันที่ครบกำหนดจ่ายค่าจ้าง การที่จำเลยเพิ่งอ้างเหตุไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสี่ในภายหลังว่ายังมีปัญหาว่าจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ก็ดี โจทก์ทั้งสี่จะต้องคืนทรัพย์สินและเอกสารของจำเลยหรือไม่ และจะนำค่าจ้างดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ตามที่โจทก์ทั้งสี่ทำให้จำเลยเสียหายได้หรือไม่ก็ดี เป็นข้ออ้างที่ไม่สุจริตเพราะจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้โจทก์ทั้งสี่ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2560 อยู่แล้ว ส่วนเรื่องการคืนทรัพย์สินและเอกสารกับการหักกลบลบหนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 อันเป็นวันที่โจทก์ทั้งสี่ออกจากงานไปแล้ว ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการจงใจไม่จ่ายค่าจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จำเลยจึงต้องจ่ายเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคสอง เมื่อจำเลยมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม 2560 ให้โจทก์ทั้งสี่ในวันที่ 31 มกราคม 2560 จึงต้องจ่ายเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าของค่าจ้างที่โจทก์แต่ละคนได้รับนับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 (อันเป็นวันพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง) ทุกระยะเวลาเจ็ดวันจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยนำค่าจ้างค้างจ่ายดังกล่าวมาวางศาล ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมาว่า การที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสี่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสี่โดยปราศจากเหตุผลอันสมควรนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง