โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) (3) (4), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 90 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 45 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า สมควรรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยจัดให้เล่นแชร์ตามคำฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.5, 1.8, 1.9, 1.11 และ 1.12 รวม 8 กระทง โดยจำเลยมิได้ส่งเงินเข้าทุนกองกลาง และไม่มีการจัดประมูลแข่งกันเป็นงวด ๆ อันไม่ต้องด้วยบทนิยาม "การเล่นแชร์" ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 6 นั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและไม่สืบพยาน ทางพิจารณาจึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงในรูปแบบหรือลักษณะใด จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงไปตามคำฟ้องและตามที่จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์ทุกวงตามนิยามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อีกทั้งจำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาในปัญหานี้มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี อันต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า "สั่งในฎีกา" และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า "จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้" จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ศาลฎีกาจึงไม่รับปัญหานี้ไว้วินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย