โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2528 จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 4,170,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี ตกลงผ่อนต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เดือนละ 353,000 บาท หลังจากทำสัญญากู้จำเลยไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์ รวมต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,301,704 บาท จำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้พิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนังสือมอบอำนาจมิใช่ลายมือชื่อนายอนุตร์อัศวานนท์ ผู้มอบอำนาจ จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์และไม่เคยได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยมีทรัพย์สินพอชำระหนี้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ประกันโดยจำเลยได้จำนำจักรเย็บผ้าไว้แก่โจทก์เป็นประกันชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้จากโจทก์ แต่คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เข้าองค์ประกอบของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 10ว่า เมื่อจำเลยล้มละลายแล้ว โจทก์ย่อมสละทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้มอบจักรเย็บผ้าให้แก่โจทก์ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าถือไม่ได้ว่าการจำนำจักรเย็บผ้าเป็นการประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกัน คำฟ้องของโจทก์มิใช่คำฟ้องที่ไม่ชอบดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษา.