โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นหุ้นส่วนร่วมกันรับจ้างเหมาถมดินในที่ดินโฉนดเลขที่ 5025, 1612, 16546, 1545, 1652, 1521, และ 1548 จากบริษัท พี.เอ.เอสเตท จำกัด จำนวนเนื้อที่ 100 ไร่ ประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2534 จำเลยที่ 1ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงว่าจ้างโจทก์ทั้งสองให้ถมดินในที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นเงินค่าจ้าง 1,621,761 บาท โดยจะชำระค่าจ้างเมื่อโจทก์ทั้งสองถมดินเสร็จแล้ว โจทก์ทั้งสองได้เริ่มถมดินเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2534 จนถึงวันที่ 2534 จึงเสร็จ และได้ส่งมอบงานแก่จำเลยทั้งสามแล้วแต่จำเลยทั้งสามผิดสัญญาไม่ชำระค่าจ้างให้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,621,761 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 67,573 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อทำการรับเหมาถมดินให้แก่บริษัท พี.เอ.เอสเตท จำกัด และได้แบ่งงานให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถมดินให้บริษัทดังกล่าวจำนวน 7 ไร่ ตามฟ้องจริง แต่ตกลงค่าจ้างกันเพียง 1,365,000บาท ไม่ถึง 1,689,334 บาท ตามที่โจทก์ทั้งสองอ้าง โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิรับค่าจ้างเนื่องจากได้ถมดินเพียงบางส่วนแล้วละทิ้งงานไปไม่ยอมถมให้เสร็จตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้วในระยะเวลาตามฟ้องและในขณะนี้ แต่ขอรับว่าจำเลยที่ 2 กับพวกได้รับเหมาถมดินให้แก่บริษัท พี.เอ.เอสเตท จำกัด จริง บริษัทดังกล่าวยังไม่ได้ชำระค่าจ้างแก่จำเลยที่ 2 กับพวก อีกเป็นเงิน 1,500,000 บาท หากบริษัทดังกล่าวชำระค่าจ้างให้แล้วและผู้ร่วมงานของจำเลยที่ 2 ค้างค่าจ้างโจทก์ทั้งสองจริงก็สามารถใช้เงินจำนวนดังกล่าวชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งสองได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญารับจ้างถมดินให้แก่บริษัท พี.เอ.เอสเตท จำกัด ในพื้นที่ประมาณ100 ไร่ จำเลยที่ 3 ไม่เคยมอบอำนาจหรือให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 1 ในการว่าจ้างโจทก์ทั้งสองรับเหมาดินในเนื้อที่ 7 ไร่ หากแต่จำเลยที่ 1 ทำไปในฐานะส่วนตัว โจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ 1 แบ่งส่วนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองถมดิน โจทก์ทั้งสองจึงต้องผูกพันตามสัญญาจ้างเหมาที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับบริษัทผู้ว่าจ้าง เมื่อโจทก์ทั้งสองผิดสัญญาเพราะถมดินและความสูงของดินไม่ครบ 7 ไร่ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างถมดิน จำเลยที่ 3ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,621,761 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2533 (ที่ถูกคือ 2534)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 8 มกราคม 2535)ไม่ให้เกิน 65,573 บาท
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2533 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญารับจ้างเหมาถมดิน ทรายและลูกรังกับบริษัท พี.เอ.เอสเตท จำกัด ผู้ว่าจ้างในเนื้อที่ 100 ไร่ ตามสัญญาจ้างเหมาถมดินเอกสารหมาย จ.2 วันที่ 6 เดือนเดียวกันจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันเพื่อประกอบกิจการรับจ้างถมดินทราย และลูกรังให้แก่บริษัทผู้ว่าจ้างดังกล่าวตามสัญญาหุ้นส่วนเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันที่ 4มิถุนายน 2534 จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างโจทก์ทั้งสองถมดินในที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับบริษัทผู้ว่าจ้างเป็นเนื้อที่ 7 ไร่ โจทก์ทั้งสองถมดินรวม 987 เที่ยว คิดเป็นปริมาตร18,019.57 ลูกบาศก์เมตร เป็นเงิน 1,621,761 บาท
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มิได้ยกเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมอย่างไรแต่กลับยอมรับว่าเห็นด้วยในผลคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อต่อไปว่าจำเลยที่ 3 ต้องผูกพันในการที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ทั้งสองถมดินหรือไม่ จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างถมดินให้กับบริษัท พี.เอ.เอสเตท จำกัด เท่านั้น ทั้งตามสัญญาหุ้นส่วนเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีข้อความระบุว่าได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ทั้งสองถมดินแต่อย่างใด ที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเป็นการทำเกินขอบอำนาจและในฐานะส่วนตัว จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 เห็นว่า จำเลยทั้งสามเป็นหุ้นส่วนกันโดยได้ทำสัญญาหุ้นส่วนตามเอกสารหมาย จ.1ซึ่งตามสัญญาฉบับดังกล่าวข้อ 2 ได้ระบุวัตถุประสงค์ว่าเพื่อร่วมกันประกอบกิจการรับจ้างถมดิน ทรายและลูกรังให้แก่บริษัทผู้ว่าจ้าง สัญญาข้อ 3 และข้อ 5 ระบุว่าหุ้นส่วนตกลงมอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบส่งมอบงานและรับค่าจ้างถมดินด้วยและหุ้นส่วนทุกคนจะรับผิดชอบในกิจการดังกล่าวจนแล้วเสร็จ การที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างช่วงให้โจทก์ทั้งสองถมดินในที่ดินบางส่วนซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างกับบริษัทผู้ว่าจ้าง แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้รับมอบหมายจากผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นโดยตรง แต่กิจการที่จำเลยที่ 1 ทำไปนั้นก็เพื่อให้สามารถส่งมอบงานให้บริษัทผู้ว่าจ้างทันตามสัญญาจึงอยู่ภายในกรอบแห่งวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายโดยตรงของการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนอันถือได้ว่าเป็นการจัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนด้วย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1050 ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในกิจการที่ว่าจ้างนั้น และต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น ดังนั้น จำเลยที่ 3 จึงต้องผูกพันรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในหนี้อันเกิดจากการว่าจ้างโจทก์ทั้งสองดังกล่าว"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์