โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้และรอการจ่ายซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจากกองทัพอากาศผู้คัดค้านเป็นเงิน 2,246,781 บาท แต่ผู้คัดค้านขัดข้องแจ้งว่าจำเลยได้รับโอนสิทธิเรียกร้องอันมีต่อกองทัพอากาศให้ธนาคารทหารไทยจำกัดไปแล้ว โจทก์เห็นว่าตามหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องระบุให้โอนเงินตามสัญญาเพียง 65,328,912 บาทมิได้กล่าวถึงค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้แต่อย่างใด จึงขอให้ศาลมีหนังสือแจ้งไปยังกองทัพอากาศให้ส่งเงินจำนวน 2,246,781 บาท มายังศาลชั้นต้นหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยได้โอนสิทธิเรียกร้องอันมีต่อกองทัพอากาศให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด ทั้งหมดแล้ว ศาลจะให้กองทัพอากาศส่งเงินมายังศาลตามคำร้องไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องและการปฏิบัติของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ยังไม่พอฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด สมควรฟังข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยและผู้ที่เกี่ยวข้อง พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาเกี่ยวกับกรณีมีเหตุที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ว่า คดีนี้พิพาทกันว่าการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาระหว่างจำเลยกับธนาคารทหารไทย จำกัด มีอยู่เพียงใดเท่านั้น โดยข้อเท็จจริงฟังได้ว่ากองทัพอากาศมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างทำงานฉบับที่ 117/2521ลงวันที่ 27 กันยายน 2521 หนี้ตามสัญญาได้โอนไปให้ธนาคารทหารไทย จำกัด เป็นผู้รับแทนจำเลยแล้ว ซึ่งจำนวนเงินทั้งสิ้นตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องอ้างถึงสัญญาจ้างทำงานและโดยสัญญาจ้างทำงานนี้ นอกจากจำนวนเงินตามงวดทั้ง 10 งวดที่ระบุไว้ในสัญญา ยังมีจำนวนเงินค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ยังมิได้ระบุไว้แน่นอน แต่ในที่สุดก็ฟังว่าค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้นี้มีอยู่แน่นอนแล้ว ซึ่งผู้คัดค้านเคยส่งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมาแล้วจำนวนหนึ่งและจำนสวนพิพาทกันนี้ ผู้คัดค้านขัดข้องไม่ยอมส่งตามหนังสืออายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยอ้างข้อตกลงในหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยกับธนาคารทหารไทย จำกัด เป็นข้อต่อสู้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติดังกล่าว การที่จะวินิจฉัยว่าเงินค่าจ้างที่ปรับราคาได้ตามที่พิพาทกันนี้ได้โอนไปเป้นของธนาคารทหารไทย จำกัด หรือไม่ จึงมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยได้แล้ว ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
ในปัญาที่ว่าค่าจ้างที่ปรับราคาได้ตามที่พิพาทกันนี้ได้โอนไปเป็นของธนาคารทหารไทย จำกัด แล้วหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกับธนาคารทหารไทยจำกัด ได้ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องโดยระบุว่า จำเลยโดยสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่กับผู้คัดค้านทั้งหมดหรือประจำงวดที่ 1-10 ให้แก่ธนาคาร และในวันเดียวกันนั้นจำเลยกับธนาคารทหารไทย จำกัด ก็ได้แจ้งให้ผู้คัดค้านทราบโดยยืนยันว่าได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมดด้วย ที่สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยกับธนาคารทหารไทยจำกัดและหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องที่จำเลยกับธนาคารทหารไทย จำกัด กล่าวถึงเงินค่าจ้างทั้ง 10 งวดไว้ เพราะเป็นยอดเงินค่าจ้างที่แน่นอนซึ่งต้องชำระกันตามสัญญาจ้างทำงานระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้าน ส่วนค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เนื่องจากขณะโอนสิทธิเรียกร้องยังไม่ถึงเวลาเริ่มลงมือทำงานย่อมไม่มีทางจะทราบได้ว่าจะมีค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้อยู่เพียงใดหรือไม่ ที่สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระบุถึงสิทธิเรียกร้องทั้งหมด จึงต้องหมายความรวมถึงค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ด้วย การที่ผู้คัดค้านเคยส่งเงินค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ตามสัญญาจ้างทำงานรายนี้มายัง เจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้รับแจ้งอายัดมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาผู้คัดค้านเกิดมีข้อสงสัย เกี่ยวกับกรณีการแปลความมหมายแห่งการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยกับธนาคารทหารไทย จำกัด เมื่อผู้คัดค้านได้หารือกรมอัยการและกรมอัยการเห็นว่าสิทธิเรียกร้องทั้งหมดซึ่งรวมถึงเงินค่าจ้างที่สามารถปรับราคาได้ได้โอนไปยังธนาคารทหารไทย จำกัด แล้ว ผู้คัดค้านย่อมเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติได้ เมื่อเห็นว่าต้องตามความประสงค์ของคู่กรณีที่ให้มีการโอนสิทธิเรียกร้องต่อกันยิ่งกว่า
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น