ได้ความว่า จำเลยเป็นพลาธิการโรงพยาบาลอานันทมหิดล จำเลยได้ยืมเงินทดรองไปซื้อของใช้ราชการโรงพยาบาล ๑,๐๐๐ บาท ได้ซื้อของมาจากร้าน จ. ๘๕๐ บาท จ.เจ้าของร้ายออกใบรับให้ จำเลยได้ส่งใบรับกันสิ่งของให้กรรมการตรวจนับเรียบร้อยแล้ว แต่ขัดข้องการเบิกเงินกเพราะเมื่อรวมใบรับอื่น เงินเกิน ๑,๐๐๐ บาทไป จำเลยได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาแยกใบรัเงินออกส่งแทนเป็น ๒ ฉบับแต่ปราฏว่าใบรับเงินที่จำเลยส่งแทนนี้ จ.มิได้ลงลายมือชื่อ และจำเลยได้ยืมเงินทดรองไปซื้อของอีกรายหนึ่ง ๘๕๐ บาทได้รับเงินไปแล้ว แต่จำเลยหาใบรับให้กรรมการตรวจรับรองของไม่พบ จึงให้ ช.ทำใบรับเงินของร้านไพโรจน์พาริชย ลงชื่อไพโรจน์เป็นผู้รับเงิน ส่งให้กรรมการตรวจนับรับของแทน เมื่อพบใบรับเงินที่หายจำเลยจึงเอาใบรับเงินที่ทำแทนนั้นให้ พ.เจ้าของร้านขีดฆ่า ลงชื่อ พ.เป็นผู้รับเงินและคืนใบรับเงินดิมให้ พ. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำใบรับเงินของร้านทั้ง ๒ ดังกล่าวปลอม จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็ฯว่า จำเลยมีผิดตาม ก.ม. ลักษณะอาญามาตรา ๒๒๔,๒๒๗ เป็น ๒ กระทง จำคุกกระทงละ ๖ เดือน รวม ๑ ปี
ศาลทหารกลางเห็นว่า คดียังไม่พอจะฟังว่า การกระทำของจำเลยอาจจะเกิดความเสียหายแก่ทางราชการได้(อ้างฎีกา ๘๖๖-๘๗๐/๒๔๘๔) พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังว่า ทางราชกรไม่เสียหาย ข้อที่ว่าอาจจะเกิดการเสียหายขึ้นได้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้ว ต้องแล้วแต่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป บางกรณีเห็นได้ชัดจากการกระทำนั้นเองว่า อาจเกิดความเสียหายหรือไม่ ถ้ากรณีใดเป็นที่สงสัย โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความชัด คดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่พอจะถือว่าอาจเกิดความเสียหายแก่ทางราชการได้ ฎีกาที่โจทก์อ้างไม่เหมือนเรื่องนี้
พิพากษายืน