โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยเป็นพนักงานส่วนตำบล ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ระดับ 4 และเป็นปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐขณะเกิดเหตุจำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2545 องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ประกาศสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน และโครงการถมที่ดินบริเวณร้านค้าชุมชน ด้วยวิธียื่นซองสอบราคา โดยโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน กำหนดวันซื้อและรับเอกสารสอบราคาระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2545 ในเวลาราชการ กำหนดวันยื่นซองสอบราคาและเปิดซองสอบราคาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ส่วนโครงการถมที่ดินบริเวณร้านค้าชุมชนกำหนดวันซื้อและรับเอกสารสอบราคาระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2545 ในเวลาราชการ กำหนดวันยื่นซองสอบราคาวันที่ 30 ตุลาคม 2545 เวลา 8.30 นาฬิกา ถึง 11.30 นาฬิกา และเปิดซองสอบราคาเวลา 13 นาฬิกา เป็นต้นไป ในการนี้องค์การบริหารส่วนตำบลมีคำสั่งตั้งนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ เป็นเจ้าหน้าที่ขายเอกสารสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน และมีคำสั่งที่ 100/2545 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2545 ตั้งจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่รับซอง และตั้งนายถนอม กรรมการบริหาร อบต. เป็นประธานกรรมการเปิดซองสอบราคาโครงการถมที่ดินบริเวณร้านค้าชุมชน โดยมีนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ นายกรินทร์ นายทวัฒน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 และนายวิชัย เลขาประชาคมหมู่ที่ 5 เป็นกรรมการ ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2545 นายสุรเชษฐ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. ไปซื้อเอกสารสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล จำเลยแจ้งว่าไม่มีกุญแจไขตู้เก็บเอกสารสอบราคาโครงการดังกล่าว ไม่สามารถขายให้ได้ โดยได้รับเงินค่าซื้อเอกสารสอบราคา 2,000 บาท และออกใบสำคัญรับเงินให้นายสุรเชษฐ์ และแจ้งให้มารับเอกสารพร้อมใบเสร็จรับเงินในวันรุ่งขึ้น ครั้นวันที่ 29 ตุลาคม 2545 จำเลยออกใบเสร็จรับเงินค่าซื้อเอกสารสอบราคาโครงการถมดินบริเวณร้านค้าชุมชนให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. และบริษัท ก. และนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ ได้ออกใบสำคัญรับเงินจำนวน 1,500 บาท ค่าซื้อเอกสารสอบราคาโครงการถมดินบริเวณร้านค้าชุมชน ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. นายสุรเชษฐ์ได้ทำบันทึกร้องเรียนว่าซื้อเอกสารสอบราคาโครงการถมดินบริเวณร้านค้าชุมชน แล้วไม่ได้รับเอกสารสอบราคา โดยนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ได้ทำบันทึกรายงานเหตุดังกล่าวเสนอไปด้วย หน้า 235, 268 และ 267 เมื่อถึงวันยื่นซองสอบราคาและเปิดซองสอบราคาโครงการถมดินบริเวณร้านค้าชุมชน ในวันที่ 30 ตุลาคม 2545 มีผู้ยื่นซองเสนอราคา 3 ราย คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. และบริษัท ก. แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. กับบริษัท ก. ทำผิดเงื่อนไขคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาจึงรับซองเสนอราคาของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. โดยต่อรองราคาเหลือ 790,000 บาท จากนั้นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2545 องค์การบริหารส่วนตำบลทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. เป็นผู้รับจ้างโครงการถมดินบริเวณร้านค้าชุมชน ส่วนโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนมีห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ยื่นซองเสนอราคาเพียงรายเดียวองค์การบริหารส่วนตำบล จึงยกเลิกการสอบราคา หลังจากนั้นนายสุรเชษฐ์ทำหนังสือร้องเรียนต่อนายอำเภอ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งสอบสวนแล้ว มีความเห็นว่า จำเลยมีเจตนาปิดบังไม่ให้นายสุรเชษฐ์ซื้อเอกสารสอบราคาโครงการทั้งสอง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติชี้มูลว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 แต่จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 เป็นบทความผิดและบทกำหนดโทษซึ่งได้แบ่งลักษณะการกระทำที่เป็นความผิดเป็น 2 ส่วน โดยความผิดส่วนแรกเป็นการกระทำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ถึงมาตรา 8 ใช้บังคับแก่บุคคล นิติบุคคล และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยหากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำการตามมาตรา 4 ถึงมาตรา 8 ต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 12 ไม่อาจลงโทษตามอัตรากำหนดในมาตรา 4 ถึงมาตรา 8 ความผิดในส่วนแรกแห่งมาตรา 12 จึงเป็นเหตุฉกรรจ์ของความผิดตามมาตรา 4 ถึงมาตรา 8 ที่ใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐสำหรับความผิดในส่วนที่สองของมาตรา 12 เป็นบทความผิดเฉพาะผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่ได้กระทำการตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่สองอีกโสดหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคำกล่าวบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ว่า จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการไม่ขายและมอบเอกสารสอบราคาและรูปแบบรายการโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนให้แก่นายสุรเชษฐ์โดยใช้อุบายอ้างว่าจำเลยไม่มีกุญแจไขตู้เก็บเอกสารดังกล่าว ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 7 ที่เป็นความผิดในส่วนแรกของมาตรา 12 โดยโจทก์ไม่ได้กล่าวบรรยายฟ้องอ้างถ้อยคำในมาตรา 12 ว่า จำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 7 ซึ่งเป็นมาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดมาในคำขอท้ายฟ้อง อันถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดตามมาตรา 7 กรณีจึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ที่ไม่ระบุคำว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เคลือบคลุมไม่ครบองค์ประกอบความผิดในส่วนแรกของมาตรา 12 ตามข้อฎีกาของจำเลย และเมื่อโจทก์ได้กล่าวบรรยายฟ้องว่าการใช้อุบายหลอกลวงของจำเลยดังกล่าว ทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. ไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม เป็นการกระทำใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคา รายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นการกล่าวถึงกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 12 ที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษแล้ว คำฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณารับฟังได้ว่า จำเลยปฏิเสธการขายเอกสารการสอบราคาพร้อมแบบรูปรายการโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนแก่นายสุรเชษฐ์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2545 โดยอ้างว่าจำเลยไม่มีกุญแจไขตู้เก็บเอกสารดังกล่าว และโจทก์มีนางสาวสายจิต กับนางดวงฤดี เบิกความว่า นางดวงฤดีเก็บรักษาเอกสารการสอบราคาจ้างทั้งสองโครงการและใบเสร็จรับเงินของส่วนคลังไว้ในตู้เก็บเอกสาร และเป็นผู้เก็บรักษากุญแจไขตู้เอกสารดังกล่าวทั้งสองตู้ วันที่ 25 ตุลาคม 2545 นางดวงฤดีอยู่ปฏิบัติหน้าที่จนเวลา 16.30 นาฬิกา และลากิจในวันทำการถัดไปโดยไม่ได้มอบกุญแจไขตู้เอกสารให้นางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ เนื่องจากนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์กลับไปก่อน และในวันที่ 28 ตุลาคม 2545 นางสาวสายจิตนำกุญแจที่รับมาจากนายจักรพงษ์ ไปมอบให้จำเลยเมื่อเวลา 9.30 นาฬิกา และโจทก์ยังมีนายสุรเชษฐ์เบิกความประกอบว่า ขณะไปขอซื้อเอกสารสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน จำเลยแจ้งว่ามีการขายเอกสารสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนเพียงโครงการเดียวและออกใบสำคัญรับเงินค่าซื้อเอกสารการสอบราคาดังกล่าวให้นายสุรเชษฐ์เพื่อมารับเอกสารในวันรุ่งขึ้น ครั้นวันที่ 29 ตุลาคม 2545 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา นายสุรเชษฐ์กับนายบุญล้นเดินทางไปที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลไม่พบจำเลยจนหมดเวลาราชการ และทราบจากนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ว่ามีการขายเอกสารสอบราคาโครงการถมดินบริเวณศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน จึงขอซื้อเอกสารดังกล่าวจากนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์แต่นางหรือนางสาวเกตุสุนีย์แจ้งว่าไม่มีกุญแจไขตู้เก็บเอกสารให้มารับในวันถัดไป และโจทก์ยังมีนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์เบิกความเพิ่มเติมว่า ขณะมาทำงานในวันที่ 29 ตุลาคม 2545 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา นางหรือนางสาวเกตุสุนีย์สอบถามจำเลยว่ากุญแจไขตู้เก็บเอกสารอยู่ที่ใด จำเลยตอบไม่ทราบ หลังจากนั้นจำเลยออกจากที่ทำการไปจนหมดเวลาราชการ ทำให้นางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ไม่สามารถเปิดตู้เอกสารเพื่อนำเอกสารสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนตำบลมอบให้นายสุรเชษฐ์และไม่สามารถขายเอกสารสอบราคาโครงการถมดินบริเวณร้านค้าชุมชน ให้นายสุรเชษฐ์ตลอดจนจำเลยก็นำสืบยอมรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้รับมอบกุญแจไว้จากนางสาวสายจิตและเบิกความอ้างลอย ๆ ว่าไม่ทราบว่าเป็นกุญแจอะไร อันอาจรับฟังเป็นข้อพิรุธก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏจากทางพิจารณาว่าเอกสารการสอบราคาจ้างโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนและโครงการถมที่ดินบริเวณร้านค้าชุมชนรวมทั้งใบเสร็จรับเงินถูกเก็บรักษาไว้ในตู้เก็บเอกสารของส่วนการคลัง ซึ่งมีนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์เป็นหัวหน้าส่วนการคลังและกุญแจไขตู้เอกสารดังกล่าวที่อยู่ในความยึดถือครอบครองของนางดวงฤดี เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี องค์การบริหารส่วนตำบลโดยนางดวงฤดีมีหน้าที่ไขเปิดตู้เมื่อมาทำงานและปิดตู้เมื่อเลิกงาน ตลอดจนนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ขายเอกสารสอบราคา เอกสารโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหน้าที่โดยตรงในการเก็บรักษากุญแจตู้เก็บเอกสารดังกล่าวหรือเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดในการขายเอกสารการสอบราคาทั้งสองโครงการ กรณีจึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงเพียงว่าจำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุตามคำสั่งองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ 44/2544 มารับฟังว่าจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่ในการครอบครองรักษาและขายเอกสารการสอบราคาโครงการดังกล่าว และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ และบัญชีลงเวลาปฏิบัติราชการของพนักงานส่วนตำบลว่า วันที่ 25 ตุลาคม 2545 นางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ลงเวลากลับ 12 นาฬิกา ส่วนนางดวงฤดีไม่ได้ลงเวลากลับ และวันที่ 28 ตุลาคม 2545 กับวันที่ 29 ตุลาคม 2545 ซึ่งเป็นวันทำการถัดมา นางดวงฤดีไม่มาปฏิบัติราชการ ส่วนนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ก็เพิ่งมาปฏิบัติราชการในวันที่ 29 ตุลาคม 2545 และลงเวลาปฏิบัติราชการเวลา 9.00 นาฬิกา โดยนางดวงฤดีและนางหรือนางสาวเกตุสุนีย์ต่างก็ไม่ได้มอบหมายกุญแจไขเปิดตู้เอกสารไว้ต่อผู้ใดให้เป็นกิจจะลักษณะ ทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงของบุคคลทั้งสอง อันแสดงถึงความไม่ใส่ใจต่อหน้าที่ราชการของบุคคลทั้งสอง ดังนั้นแม้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยเพิ่งได้รับมอบกุญแจ 1 พวง จากนางสาวสายจิต เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2545 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา และอ้างว่าไม่ทราบว่าเป็นกุญแจอะไร ซึ่งมีลักษณะเป็นข้ออ้างที่เป็นพิรุธชวนสงสัย แต่การจะนำเพียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับมอบกุญแจไขเปิดตู้เอกสารดังกล่าว และปฏิเสธว่าไม่มีกุญแจไขเปิดตู้เก็บเอกสารเพื่อนำเอกสารสอบราคาและรูปแบบโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชนมอบให้นายสุรเชษฐ์มารับฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยว่า จำเลยมีเจตนาไม่ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. มีโอกาสเข้าเสนอราคาจ้างในโครงการทั้งสองก็ยังไม่ถนัด และเมื่อพิจารณาว่าความผิดตามฟ้องฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐนั้น ผู้กระทำนอกจากมีเจตนาไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมแล้ว ยังต้องกระทำโดยมีเจตนาเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐอีกด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ว่า การสอบราคาจ้างทั้งสองโครงการดังกล่าว องค์การบริหารส่วนตำบลได้ส่งประกาศแจ้งการสอบราคาโครงการถมที่ดินบริเวณร้านค้าชุมชนไปยังผู้มีอาชีพรับจ้าง 5 ราย อันได้แก่ บริษัท ก. ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. บริษัท ห. และผู้จัดการร้าน พ. เพื่อให้มีบุคคลรับทราบถึงการประกาศสอบราคาจ้างดังกล่าว สำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. ซึ่งอ้างว่าถูกกีดกันจากจำเลยจึงไม่ได้เข้าเสนอราคาแข่งขัน ก็ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. ก็ไม่ได้เข้าเสนอราคาแข่งขันในการสอบราคาโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน ซึ่งมีกำหนดวันยื่นซองสอบราคาและเปิดซองสอบราคาในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 อันเป็นเวลาภายหลังจากนายสุรเชษฐ์ได้รับมอบหมายเอกสารการสอบราคาดังกล่าว ทั้งยังปรากฏจากคำเบิกความของนายสุรเชษฐ์ว่า นายสุรเชษฐ์ไปขอซื้อเอกสารการสอบราคาจ้างโครงการก่อสร้างศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน พร้อมกับนายบุญล้น โดยนายบุญล้นจะหาพรรคพวกมาทำโครงการศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน และนายสุรเชษฐ์จะเป็นผู้รับเงินค่าจ้างในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการ แล้วจะได้ค่าดำเนินการเป็นเงิน 5 เปอร์เซ็นต์ (ร้อยละ 5) ของค่าจ้าง อันส่อแสดงว่าห้างหุ้นส่วน ศ. โดยนายสุรเชษฐ์ไม่ได้มุ่งประสงค์เสนอราคาเพื่อตนโดยตรง และเมื่อความผิดตามฟ้องมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี อันเป็นความผิดซึ่งมีโทษฉกรรจ์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์แสดงความผิดของจำเลยให้สมข้ออ้าง แต่โจทก์คงมีเพียงนายเกรียงศักดิ์ เบิกความอ้างว่าผู้เสนอราคาที่ได้รับการเอื้ออำนวยจากจำเลยให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ หมายถึงห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. และบริษัท ก. ผู้ซื้อเอกสารสอบราคาจากจำเลย โดยไม่ได้ยืนยันว่าเป็นบุคคลใด และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบแสดงพยานหลักฐานให้ปรากฏชัดว่าจำเลยมีความเกี่ยวพันกับบุคคลใดในกลุ่มบุคคลที่นายเกรียงศักดิ์กล่าวอ้างตลอดจนไม่ได้นำสืบให้ได้ความชัดว่า จำเลยกระทำการตามฟ้อง โดยมีเจตนาเพื่อเอื้ออำนวยให้แก่ผู้เข้าเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐประกอบกับจำเลยก็ให้การและนำสืบปฏิเสธความผิดตลอดมาแล้ว กรณีเห็นได้ว่าพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาแล้วยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องและลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง