โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายนิพนธ์ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมเฉพาะความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการเสียประโยชน์ที่จะได้รับจากงานก่อสร้างสถานีตำรวจภูธรอ่าวนาง เป็นเงิน 467,040 บาท
จำเลยให้การในส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูกและวรรคสอง), 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 8 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 6,830.15 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งแทนโจทก์ (ที่ถูก แทนโจทก์ร่วม) โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นพับ ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 9 วัน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 วัน เมื่อรวมกับโทษในความผิดอื่นตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้ว เป็นจำคุก 8 เดือน 6 วัน ให้ยกคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม และยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 6,830.15 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา โจทก์ร่วมขับรถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด ไปจอดใกล้สำนักงานชั่วคราวของสถานที่ก่อสร้างโรงแรม 236 ยูนิต จังหวัดกระบี่ ที่เกิดเหตุ เพื่อเจรจาเรื่องเงินค่าจ้างรับเหมาก่อสร้างที่โจทก์ร่วมรับจ้างช่วงจากจำเลย โดยมีนางสาวเลล่าหรือจ๊ะ ไปกับโจทก์ร่วมด้วยและเป็นผู้เข้าไปเจรจากับจำเลยภายในสำนักงาน ส่วนโจทก์ร่วมนั่งรออยู่ภายในรถยนต์ จากนั้น เวลา 15 นาฬิกาเศษ นางสาวเลล่ากลับออกมาและมีจำเลยเดินตามออกมาด้วยแล้วเกิดเหตุจำเลยกระชากคอเสื้อโจทก์ร่วมขณะที่โจทก์ร่วมนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับและเปิดกระจกข้างไว้ จนเป็นเหตุให้สร้อยคอที่โจทก์ร่วมสวมอยู่ขาดและพระรูปหล่อหลวงพ่อเงินเลี่ยมทองคำติดมือจำเลยไป เมื่อโจทก์ร่วมขับรถออกจากที่เกิดเหตุแล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอ่าวนางต่อร้อยตำรวจเอกโชคดี พนักงานสอบสวน เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ โดยมีสาระสำคัญว่า ก่อนที่โจทก์ร่วมจะถูกจำเลยกระชากคอเสื้อนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนพกยิงท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วม ขณะที่โจทก์ร่วมกำลังถอยรถเพื่อจะขับออกจากที่เกิดเหตุ และร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ร้อยตำรวจเอกโชคดีถ่ายรูปโจทก์ร่วมและสร้อยคอที่ถูกจำเลยกระชากขาดกับแสดงท่าทางที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วม จากนั้นร้อยตำรวจเอกโชคดีพาโจทก์ร่วมไปนำชี้ที่เกิดเหตุ ต่อมาเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ระหว่างโจทก์ร่วมอยู่ที่สถานีตำรวจดังกล่าว นายสุนทรได้นำพระรูปหล่อหลวงพ่อเงินเลี่ยมทองมาคืนให้แก่โจทก์ร่วม ร้อยตำรวจเอกโชคดีถ่ายรูปไว้ สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วม 1 นัด แล้วเดินไปกระชากคอเสื้อโจทก์ร่วมพร้อมกับห้ามมิให้โจทก์ร่วมเข้ามาในพื้นที่เพื่อต้องการข่มขู่และเจตนาจะไม่จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยหาได้มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมไม่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในความผิดฐานดังกล่าว จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ เห็นว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานจะมีน้ำหนักในการรับฟังพอที่จะลงโทษจำเลยได้หรือไม่นั้น ต้องประกอบเหตุผลความน่าเชื่อถืออันควรแก่การรับฟังลงโทษจำเลยได้ หาได้ขึ้นอยู่กับจำนวนประจักษ์พยานมากหรือน้อยไม่และมิใช่ว่าประจักษ์พยานเบิกความอย่างไรศาลจะต้องรับฟังไปตามนั้นคดีนี้ แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่โจทก์ร่วมเบิกความถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ตนได้ประสบพบเห็นมาโดยตรงทั้งเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลากลางวันโจทก์ร่วมย่อมมีโอกาสเห็นและจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แม่นยำ โดยมีรายละเอียดของเหตุการณ์เป็นลำดับว่า โจทก์ร่วมจอดรถในที่เกิดเหตุห่างจากสำนักงานประมาณ 10 เมตร และรอนางสาวเลล่าอยู่ในรถยนต์จนกระทั่งเวลา 15 นาฬิกาเศษ โจทก์ร่วมเห็นนางสาวเลล่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากสำนักงาน มีอาการตกใจ และบอกให้โจทก์ร่วมออกไปก่อน โจทก์ร่วมจึงติดเครื่องยนต์ ขณะนั้นนางสาวเลล่าอยู่กึ่งกลางระหว่างสำนักงานกับรถยนต์ของโจทก์ร่วม จำเลยเดินออกจากสำนักงานมายืนขวางอยู่หน้ารถไม่ให้โจทก์ร่วมขับรถออกไป ทั้งมีอาการโกรธและหน้าตาขึงขัง โจทก์ร่วมขับรถถอยหลัง จำเลยเดินอ้อมไปด้านซ้ายเพื่อไปรออยู่ท้ายรถยนต์โจทก์ร่วมมองไปด้านหลังและหยุดรถห่างจากจำเลยประมาณ 2 เมตร จำเลยยกปืนสั้นสีขาวขึ้นเล็งระดับไหล่ ขณะนั้นจำเลยอยู่มุมด้านซ้ายของรถโจทก์ร่วมได้ยินเสียงปืนดังปังและได้ยินเสียงกระจกแตกตามมา โจทก์ร่วมจึงก้มศีรษะลงเพราะกลัวถูกกระสุนปืน เมื่อโจทก์ร่วมเงยศีรษะขึ้นก็พบจำเลยยืนอยู่ข้างประตูรถยนต์ซึ่งเปิดกระจกประตูไว้ จำเลยชกที่ใบหน้าโจทก์ร่วม 2 ถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ถูก เนื่องจากโจทก์ร่วมยกแขนขึ้นบังไว้ แล้วจำเลยกระชากคอเสื้อโจทก์ร่วมอย่างแรงและบอกให้โจทก์ร่วมลงจากรถ ทำให้กระดุมเสื้อขาดและพระรูปหล่อหลวงพ่อเงินที่โจทก์ร่วมสวมอยู่ที่คอติดมือจำเลยไปด้วย นางสาวเลล่าวิ่งเข้ามากอดตัวจำเลยไว้พร้อมตะโกนให้บุคคลอื่นช่วย โจทก์ร่วมยกมือไหว้จำเลยเพื่อขอชีวิต และพูดว่า "ผมกลัวแล้ว ผมจะไม่สู้โก ขอพระคืน" จำเลยตอบว่า "กูไม่ให้มึง เดี๋ยวแถมหลวงพ่อเงินรุ่นสามชายไว้ให้คุ้มครองชีวิตอีก" พร้อมกับพูดให้โจทก์ร่วมออกจากพื้นที่จังหวัดกระบี่ภายในเวลา 19 นาฬิกา ของวันเกิดเหตุ ถ้าโจทก์ร่วมไม่ออกไปจะให้ตำรวจอ่าวนางไม่จ่ายค่าก่อสร้างสถานีตำรวจที่โจทก์ร่วมทำงานก่อสร้างอยู่ให้โจทก์ร่วม ขณะนั้นนางสาวเลล่ายังคงกอดจำเลยไว้และมีนายตั้มกับนายปุ้ยลูกน้องของจำเลยยืนอยู่บริเวณเกิดเหตุ แต่ไม่ได้เข้าช่วยเหลือ ซึ่งคำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าว สอดคล้องกับคำให้การของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อร้อยตำรวจเอกโชคดีในวันเกิดเหตุ อันเป็นเวลากระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการยากที่โจทก์ร่วมจะคิดหาทางปรุงแต่งข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงเป็นคำเบิกความอย่างมีเหตุผลไม่เป็นพิรุธว่าโจทก์ร่วมจะเบิกความปรักปรำให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ดังนั้น ที่โจทก์ร่วมยืนยันข้อเท็จจริงว่าเมื่อโจทก์ร่วมขับรถถอยหลัง จำเลยเดินอ้อมไปด้านซ้ายเพื่อไปรออยู่ท้ายรถยนต์ โจทก์ร่วมหันไปมองด้านหลังและหยุดรถห่างจากจำเลยประมาณ 2 เมตร เห็นจำเลยยกปืนสั้นสีขาวขึ้นเล็งระดับไหล่ ขณะที่จำเลยยืนอยู่มุมซ้ายหลังรถยนต์ โจทก์ร่วมได้ยินเสียงปืนดังปังและได้ยินเสียงกระจกแตกตามมานั้น มีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ทั้งยังสอดคล้องกับรายงานการตรวจพิสูจน์รถยนต์ของโจทก์ร่วมอันเป็นวัตถุพยานที่สำคัญ ซึ่งปรากฏร่องรอยที่ประตูหลังรถยนต์ของโจทก์ร่วมถูกลูกกระสุนปืนยิง โดยโจทก์และโจทก์ร่วมมีร้อยตำรวจเอกบริพนธ์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ.1) กลุ่มงานตรวจพิสูจน์อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของสำนักงานศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 เบิกความสนับสนุนในข้อนี้ว่า พยานตรวจสอบรถยนต์เอนกประสงค์ 5 ประตู ยี่ห้อฟอร์ดของกลาง โดยใช้หลักการของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยกระสุนปืนที่บริเวณด้านหน้าทางซ้ายและขวา แต่เมื่อตรวจสอบด้านหลังรถยนต์พบร่องรอยกระสุนปืนที่บริเวณประตูหลังมุมซ้ายคนขับเป็นร่องรอยกระจกแตก และพบร่องรอยที่เชื่อว่าเป็นรอยกระสุนปืน เนื่องจากกระจกส่วนที่แตกและส่วนที่ร้าวลามไปทั้งบาน ซึ่งลักษณะเกิดจากวัตถุที่มีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง โดยพยานทำรายงานการตรวจพิสูจน์และความเห็นไว้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ ซึ่งรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวปรากฏผลการตรวจพิสูจน์และความเห็นของผู้ตรวจพิสูจน์ระบุชัดแจ้งว่า พบรอยกระสุนปืนยิงเป็นรูทะลุและรอยแตกต่อเนื่อง ขนาดประมาณ 10 คูณ 24 เซนติเมตร ที่บริเวณมุมด้านซ้ายของประตูหลัง ห่างจากขอบรถด้านซ้ายประมาณ 17 เซนติเมตร สูงจากพื้นประมาณ 134 เซนติเมตร กับพบรอยบุบยุบที่โครงประตูหลัง ไม่พบรอยทะลุต่อ (ภาพที่ 3 ถึง 8) จากลักษณะที่ตรวจพบที่รถยนต์ของกลาง เชื่อว่ารอยดังกล่าวเกิดจากการถูกกระสุนปืนยิงคำเบิกความและความเห็นของร้อยตำรวจเอกบริพนธ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนอันเป็นความเห็นตามหลักวิชาการและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นในงานประจำของตน นับว่าเป็นพยานคนกลางที่มีความน่าเชื่อถือ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนจำเลยแม้นำสืบว่า จำเลยมีพยานหลายปากซึ่งเป็นประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ว่าจำเลยมิได้ใช้อาวุธปืนยิงไปยังกระจกท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วม จำเลยเพียงแต่ใช้มือต่อยหรือทุบกระจกท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วมเท่านั้น แต่ประจักษ์พยานที่จำเลยอ้างและนำสืบ ซึ่งนอกจากจำเลยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนางสาวเลล่านายพงค์นาลัยหรือพงค์ และนายธนกฤต ต่างเป็นผู้รู้จักกับจำเลยมาก่อน โดยนางสาวเลล่ารู้จักกับจำเลยมาประมาณ 10 ปี นายพงค์นาลัยเป็นลูกจ้างของจำเลยประมาณ 2 ปี และนายธนกฤตเป็นลูกจ้างของจำเลยประมาณ 7 เดือน ตามที่บุคคลดังกล่าวให้การไว้ในชั้นสอบสวน พยานบุคคลดังกล่าวของจำเลยจึงมิได้อยู่ในฐานะพยานคนกลาง ย่อมอาจเบิกความเข้าข้างเพื่อช่วยเหลือจำเลยได้ง่าย คำเบิกความของประจักษ์พยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน้อยไม่ควรแก่การรับฟัง อีกทั้งเหตุการณ์ที่จำเลยกระชากคอเสื้อของโจทก์ร่วมจนพระรูปหล่อหลวงพ่อเงินเลี่ยมทองคำติดมือจำเลยไปนั้น ข้อนี้จำเลยเบิกความว่า จำเลยได้ส่งพระที่จำเลยกระชากมาให้นายตั้มลูกน้องของจำเลยถือไว้ แต่กลับได้ความตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายภาคภูมิหรือตั้มว่า ขณะเกิดเหตุนายภาคภูมิอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 50 เมตร จึงเป็นไปไม่ได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยจะส่งพระรูปหล่อหลวงพ่อเงินเลี่ยมทองคำที่จำเลยกระชากมาแล้วส่งให้นายภาคภูมิถือไว้ดังคำเบิกความของจำเลยนอกจากนี้จำเลยเองก็เบิกความด้วยว่า ขณะที่โจทก์ร่วมถอยรถมาทางด้านหลัง นายพงค์นาลัยได้ดึงจำเลยออกจากท้ายรถยนต์เนื่องจากเกรงว่ารถยนต์จะทับจำเลย จำเลยใช้มือขวาต่อยไปที่กระจกท้ายรถยนต์อย่างแรง 1 ครั้ง ด้วยความโมโห แล้วนายพงค์นาลัยดึงจำเลยออกจากท้ายรถยนต์อีกครั้งแต่กลับได้ความตามคำเบิกความของนายพงค์นาลัยว่า นายพงค์นาลัยยืนอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 15 เมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายพงค์นาลัยจะเป็นผู้ดึงจำเลยออกจากท้ายรถยนต์ขณะที่โจทก์ร่วมถอยรถ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยและประจักษ์พยานที่ต่างเบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปยังท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วม จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังพอที่จะหักล้างคำเบิกความของโจทก์ร่วมและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้ พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยมีความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือชุมนุมชนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฐานพาอาวุธปืน และฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 371 โดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ด้วย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ประสงค์ที่จะให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวทั้งการกระทำความผิดตามมาตรา 376 ก็มิใช่การกระทำซึ่งรวมอยู่ในความผิดตามที่โจทก์ฟ้องอันศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำตามที่พิจารณาได้ความได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก อันเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังท้ายรถยนต์ของโจทก์ร่วมในที่เกิดเหตุในเวลากลางวัน โดยที่โจทก์ร่วมเพียงแต่เดินทางไปยังที่เกิดเหตุตามที่นัดหมายกับจำเลยเพื่อตกลงเรื่องเงินค่าจ้างรับเหมาก่อสร้างช่วงจากจำเลยเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมได้ทวงเงินค่ารับเหมาก่อสร้างจากเจ้าของโครงการ เป็นเหตุให้จำเลยรู้สึกว่าตนเองถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำเลยเกิดความไม่พอใจต่อโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะแสดงความก้าวร้าวโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โดยการใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงไปยังรถยนต์ของโจทก์ร่วมอันเป็นการข่มขู่และคุกคามต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของโจทก์ร่วม ตลอดทั้งก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อสุจริตชนที่ได้ประสบเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ซึ่งความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยสาธารณะ พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์และบิดามารดา ทั้งเหตุที่จำเลยอ้างว่า จำเลยเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย มีการงานทำที่สุจริตเป็นหลักแหล่งและช่วยเหลืองานสังคมกับส่วนราชการ หรือมีเหตุอื่นที่อ้างมาในฎีกาก็ตาม ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาโดยใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 376 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8