โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๓๙๕,๒๕๐ บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี และได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินกู้ดังกล่าว จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์ตามสัญญา ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๔๔,๑๐๙.๔๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓๘๘,๒๙๖.๖๔ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน ๓๘๘,๒๙๖.๖๔ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓๙๒,๔๗๓.๔๙ บาทนับแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๖ ถึงวันชำระเสร็จ หักด้วยดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้โจทก์แล้วจำนวน ๙๔,๔๔๖.๖๔ บาท แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญากู้เงินระบุว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปีตามประเพณีของธนาคาร แต่ศาลล่างทั้งสองคิดให้ร้อยละ ๑๕ ต่อปี โจทก์ฎีกาว่าได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๒๖ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ประกาศดังกล่าวเป็นกฎหมายศาลรู้เองโจทก์ไม่ต้องนำสืบ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวแม้จะออกมาโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตาม ก็มิใช่เป็นกฎหมายที่ศาลจะรับรู้ได้เอง ถือได้แต่เพียงเป็นประกาศที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงประกาศดังกล่าวโจทก์จะอ้างว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปีโดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวหาได้ไม่ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.