โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายเดือนมกราคม 2540 จำเลยสั่งซื้อรถพ่วงเต้าปูน รถเต้าปูนและระบบลากจูงไปจากโจทก์เป็นเงิน 688,000 บาท ครบกำหนดชำระหนี้แล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 777,769 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 688,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม 2540 บริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด ได้สั่งซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อจากจำเลย โดยให้จำเลยดำเนินการส่งรถเข้าบริษัทโจทก์เพื่อติดตั้งเต้าปูนและใส่ระบบลากจูงเป็นรถพ่วงเต้าปูน ทั้งนี้บริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด จะเป็นผู้ชำระราคาแก่บริษัทโจทก์เอง หลังจากบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด ได้รับรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่ติดตั้งเต้าปูนและระบบลากจูงแล้ว จึงได้ให้บริษัทปูนเชียงราย จำกัด เข้าทำสัญญาเช่าซื้อเฉพาะส่วนที่เป็นตัวรถไปจากจำเลย เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ตัวแทนของบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่จำเลย โดยระบุไว้ว่าจำเลยเป็นตัวแทนในการสั่งซื้อเต้าปูนและรถพ่วงเต้าปูนจากโจทก์ในราคา 688,000 บาท ดังนั้นการสั่งติดตั้งเต้าปูนและใส่ระบบลากจูงของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด ตัวแทน และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด ผู้เช่าซื้อ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เนื่องจากหากศาลพิพากษายกฟ้องจำเลย โจทก์ก็จะสามารถฟ้องเอากับบริษัททั้งสองดังกล่าวในฐานะตัวการได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีตามคำร้องจำเลยขอให้ศาลหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ก ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่จำเลยสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนหากศาลพิจารณาให้จำเลยแพ้คดี แต่ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลย หากศาลพิจารณาให้จำเลยแพ้คดีโดยฟังว่าเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรง จำเลยก็ไม่สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยกับบริษัททั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยสามารถฟ้องหรือเรียกร้องเป็นคดีต่างหากจากคดีนี้ ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยยื่นคำแถลงโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นคำโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 688,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542) ต้องไม่เกิน 89,769 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้หมายเรียกบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้หมายเรียกบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่ามูลหนี้ตามฟ้องที่เกิดจากการติดตั้งเต้าปูนและใส่ระบบลากจูงเป็นรถพ่วงเต้าปูนที่จำเลยทำกับโจทก์นั้น จำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทนของบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด จำเลยไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์ ดังนี้คำร้องของจำเลยดังกล่าวย่อมเข้าเกณฑ์ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ก) เนื่องจากเป็นอันเข้าใจได้ว่า เป็นการขอให้ศาลหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีโดยอ้างว่า ถ้าหากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามฟ้อง จำเลยในฐานะตัวแทนย่อมฟ้องบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด ซึ่งเป็นตัวการเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้หมายเรียกบริษัทเชียงรายคอนกรีต จำกัด และบริษัทปูนเชียงราย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจึงชอบแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ