โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไปหลายครั้ง  รวม ๗๗๙,๕๒๗ บาท ได้ทำหนังสือยืมลงลายมือชื่อจำเลยให้ไว้เป็นหลักฐาน  ต่อมาจำเลยแจ้งว่านายสมชายและนายพินัยกับพวกฉ้อโกงจำเลย  จำเลยได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแล้ว  ขอหลักฐานการยืมเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ไปแสดงแก่ตำรวจ  โจทก์ได้มอบหลักฐานทั้งหมดให้จำเลยไป   จำเลยยังไม่ได้นำมาส่งคืนโจทก์แจ้งตำรวจ  ๆ  เรียกจำเลยมาสอบถาม  จำเลยก็รับว่าเป็นความจริง  ได้บันทึกถ้อยคำจำเลยไว้เป็นหลักฐาน  นอกจากหนังสือรับสภาพหนี้นี้แล้ว  จำเลยยังให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความไว้ในคดีแพ่งแดงที่ ๒๕๖/๒๔๙๗ ว่าได้ยืมเงินโจทก์ไปจริง  โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้เงิน
จำเลยให้การว่า  ไม่เคยยืมเงินโจทก์  ไม่เคยรับเงินที่โจทก์ฟ้อง  ไม่เคยนำหลักฐานการยืมเงินให้โจทก์  ไม่เคยให้โจทก์มอบหลักฐานการยืมไปแสดงต่อตำรวจ  บันทึกการรับสภาพหนี้จะมีจริงหรือไม่ ไม่รับรอง  หากมีอยู่ก็ไม่ใช่นิติกรรมที่โจทก์จำเลยจะใช้ยันกันได้  โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งหนี้  ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนหาประโยชน์มาแบ่งปันกันไม่ใช่กรณีกู้ยืมดังฟ้อง  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า  จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ๗๗๙,๕๒๗ บาท โดยได้ทำหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้จริง  ตามที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยมาแสดงนั้น  โจทก์ก็นำสืบได้ว่าจำเลยได้ยืมหลักฐานดังกล่าวไปแล้วไม่ส่งคืน  ซึ่งรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓(๒)  เมื่อปรากฎว่าจำเลยยังไม่ชำระเงินให้โจทก์  จำเลยก็ต้องชำระในเรื่องที่ดจทก์จำเลยจะประกอบการค้าร่วมกันหรือไม่นั้น  โจทก์มิได้กล่าวอ้างและจำเลยก็มิได้ต่อสู้ว่าเงินรายนี้เป็นเงินเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้า  คดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้  ฉะนั้น  ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นการเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้าไม่ใช่กู้ยืมนั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ  ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์.