โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสามตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 90, 91 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18 พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 34 (1), 51 ริบของกลาง และจ่ายสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งยี่สิบสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งยี่สิบสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (1) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18 และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 34 (1), 51 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนัน ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน และปรับ 4,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 ลงโทษฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันให้ปรับคนละ 2,000 บาท ความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมกับความผิดฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับจำเลยทั้งยี่สิบสามคนละ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน และปรับ 9,000 บาท และปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 7,000 บาท จำเลยทั้งยี่สิบสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน และปรับ 4,500 บาท และคงปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 3,500 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งยี่สิบสามใช้สินบนแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 2 ซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมาย รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนัน ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน โดยไม่ลงโทษปรับ ความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ ให้ลงโทษตามพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือน และให้จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 1 เดือน และปรับคนละ 20,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 เดือน เมื่อรวมโทษปรับในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 1 เดือน และปรับคนละ 22,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน 15 วัน คงจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 15 วัน และปรับคนละ 11,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 ให้รอการลงโทษไว้คนละ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอที่ให้จำเลยที่ 1 จ่ายสินบนนำจับในความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ในการเล่นการพนัน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินใช้เล่นพนันไพ่แปดเก้า โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 ร่วมเล่นการพนันด้วย ซึ่งถือว่ามีผู้เล่นจำนวนมาก ทั้งเมื่อพิจารณาบันทึกการจับกุมและภาพถ่ายประกอบบันทึกการจับกุมเอกสารท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านปรากฏว่า เจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้ไพ่ 2 สำรับ เงินสด 10,020 บาท ผ้าปูเล่น 1 ผืน แผ่นบอกเลขขาที่เล่น 17 ชิ้น โต๊ะพับสีขาว 2 ตัว เป็นของกลาง โดยมีการเปิดบ้านพักให้เช่าและตั้งโต๊ะเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกัน มีลักษณะเป็นบ่อนการพนัน อันเป็นการก่อให้ประชาชนลุ่มหลงในอบายมุข ทำให้เกิดปัญหาสังคมและอาชญากรรมตามมาหลายประการ ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนส่วนรวม โดยมุ่งหวังประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว ทั้งขณะเกิดเหตุมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ห้ามมิให้มีการร่วมชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดอันจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือกระทำการอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและมีเหตุผลความจำเป็นส่วนตัวตามที่กล่าวอ้างมาในฎีกาก็ตาม กรณียังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 มานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
อนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนัน ฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และฐานร่วมกันกระทำการอันเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จำเลยทั้งยี่สิบสามมีเจตนาเล่นการพนันฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกระทำการอันเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อในเวลาเดียวกัน อันเป็นเจตนาเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยทั้งยี่สิบสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทมิใช่หลายกรรมต่างกัน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสาม ฐานร่วมกันเล่นการพนัน และฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงเป็นการไม่ชอบ กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และกรณีเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และมาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนันและฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเล่นการพนันตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 2,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 คนละ 1,000 บาท เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นกักขัง 2 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2