โจทก์ฟ้องจำเลยด้วยวาจาต่อศาลแขวงพระนครใต้ในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๐๓ ศาลได้บันทึกคำฟ้องคำรับสารภาพ และทำคำพิพากษาไว้ในบันทึกฉบับเดียวกันตามมาตรา ๒๐ แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มีความว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๕ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๐๓ เวลากลางวัน และกลางคืนติดต่อกัน จำเลยเป็นลูกจ้างของบริษัทซานีซาโต้ จำกัด มีหน้าที่เก็บและรักษาเงินของบริษัทได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของบริษัทดังกล่าวไปเป็นเงิน ๑๓,๙๙๓.๒๕ บาท เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลลุมพินี อำเภอปทุมวันจังหวัดพระนคร จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๓ ดังฟ้อง รับสารภาพลดให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก จำเลยไว้ ๖ เดือน
ตามบันทึกหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาที่โจทก์ส่งศาลปรากฏว่า จำเลยกระทำผิดระหว่าง วันที่ ๒๕ ถึง ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๐๓ จำเลยจึงอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดในวันที่ผิดจากวันกระทำผิดตามเป็นจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บันทึกคำฟ้อง คำรับสารภพ และคำพิพากษาของศาล ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณษความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๐เป็นบันทึกของศาลที่บันทึกเอาไว้เอง ไม่ใช่เป็นคำฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ ซึ่งโจทก์ต้องกระทำเป็นหนังสือระบุรายละเอียดดังที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้หลงผิดในเรื่องนี้แต่ประการใด แม้บันทึกของศาลจะผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่ศาลอาจพลั้งเผลอ ซึ่งไม่เป็นเหตุที่จะหยิบยกขึ้นมาว่า โจทก์ฟ้องผิดจากวันที่ เป็นจริงได้ ยิ่งกว่านั้น ตามบันทึกหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาที่โจทก์ส่งศาลปรากฏว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างวันที่ ๒๕ ถึง ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๐๓ จับจำเลยได้เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๐๓ ชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพและศาลก็อาศัยบันทึกของพนักงานสอบสวนฉบับนี้เองบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพของจำเลยแล้วพิพากษา ฉะนั้น จะว่า โจทก์ฟ้องผิดวันที่เป็นจริงหาได้ไม่ พิพากษากลับ ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น