คดีได้ความว่า นายเสาร์ได้แจ้งต่อนายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์ผู้บังคับกองฯ ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกลักโคไป นายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์จึงสั่งให้นายสิบตำรวจเอกฉอ้านกับนายสิบตำรวจตรีสมานไปเชิญตัวจำเลยมาพบ นายสิบทั้งสองไปแจ้งจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ยอมไปจึงเข้าจับกุมบนเรือน จำเลยใช้มีดและขวานต่อสู้ขัดขวางตำรวจแย่งไว้ได้แล้วกระโดดจากเรือนและรายงานให้นายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์ทราบ นายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์จึงแจ้งให้จำเลยทราบว่าเป็นผู้บังคับกองมาจับในข้อหาลักโคนายเสาร์ จำเลยก็ไม่ยอมให้จับ นายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์จึงสั่งให้ตำรวจจับจำเลย ๆ ไม่ยอม โดยจำเลยที่ 1 ชกนายสิบตำรวจเอกฉอ้าน จำเลยที่ 2 ผลักอกนายสิบตำรวจเอกฉอ้านและนายสิบตำรวจตรีสมานเพื่อช่วยจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ลดโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140 จำเลยที่ 2 ตามมาตรา138 วรรค 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจริง แต่การจับกุมในระยะแรกนายสิบตำรวจไปจับโดยไม่มีหมาย จำเลยอยู่ในที่รโหฐานและไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า การจับกุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต่อสู้ขัดขวางไม่เป็นความผิด ส่วนการจับกุมระยะหลังถือได้ว่าผู้บังคับกองฯ จับด้วยตนเองย่อมมีความผิด แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องถึงผู้บังคับกองว่ามีส่วนร่วมในการจับกุมจึงเป็นการนอกฟ้อง ลงโทษไม่ได้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในระยะแรก นายสิบตำรวจไปจับจำเลยบนบ้านในที่รโหฐานโดยไม่มีหมาย แม้นายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์จะอยู่ห่าง 10 วา แต่ก็อยู่ที่บ้านนายเสาร์ ไม่ได้ไปจับกุมด้วย การจับกุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78, 81 จำเลยต่อสู้ขัดขวาง จึงไม่มีความผิด ส่วนในระยะหลังผู้บังคับกองฯ ซึ่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปทำการจับกุมด้วย ชอบด้วยมาตรา 78, 92 วรรคท้ายแล้ว
ข้อที่ว่า ฟ้องมิได้ระบุว่านายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์ไปจับกุมด้วยการนำสืบจะเป็นการนอกฟ้องหรือไม่นั้น โจทก์กล่าวในฟ้องว่านายสิบตำรวจเอกฉอ้าน นายสิบตำรวจตรีสมานผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมายเมื่อนายร้อยตำรวจโทสุพัฒน์เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จับกุมตามกฎหมายได้ จึงถือว่าฟ้องซึ่งระบุว่ากับพวกเจ้าพนักงาน ๆ หมายถึงผู้บังคับกองฯ ด้วย การที่ระบุแต่นายสิบก็เพราะเป็นผู้ถูกบาดเจ็บเป็นผู้เสียหาย
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรค 2