โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 8764 และ 9230 และส่งมอบเงินปันผลค่าหุ้นจำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงขอสละประเด็นข้อพิพาทเรื่องการไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลง เนื่องจากจำเลยได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยส่งมอบเงินปันผลค่าหุ้น (ที่ถูก เงินค่าหุ้น) จำนวน 111,030 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กันยายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 มีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์จำเลย ก่อนหน้าคดีนี้ จำเลยยื่นฟ้องนายประสิทธิ์ สมาชิกสหกรณ์จำเลย ในฐานะผู้กู้และโจทก์กับพวกในฐานะผู้ค้ำประกันให้ร่วมกันรับผิดชดใช้หนี้คืนแก่จำเลย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2544 นายประสิทธิ์และโจทก์กับพวกตกลงยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยในคดีดังกล่าว โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวในวันเดียวกัน คดีหมายเลขแดงที่ 886/2544 ของศาลชั้นต้น โจทก์มีหุ้นสะสมอยู่ในสหกรณ์จำเลย ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 26 มิถุนายน 2562 จำนวน 11,103 หุ้น เป็นเงิน 111,030 บาท จนถึง ณ วันฟ้อง โจทก์ยังมิได้ถอนเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องคืนเงินค่าหุ้นสหกรณ์ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 5 เรื่อง ความระงับแห่งหนี้ กำหนดไว้ว่า หนี้ระงับไปต้องมีการชำระหนี้ การปลดหนี้ การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ หรือหนี้เกลื่อนกลืนกัน เท่านั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องความระงับแห่งหนี้ดังกล่าวข้างต้น หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ยังคงมีอยู่ แม้ล่วงเลยเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 แล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมที่จำเลยไม่อาจบังคับคดีได้เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับหนี้ที่โจทก์มีต่อจำเลย เมื่อตามข้อบังคับสหกรณ์จำเลย ข้อ 36 ระบุว่า สมาชิกผู้ไม่มีหนี้สินต่อสหกรณ์ในฐานะผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันหรือหนี้สินอื่นที่ผูกพันจะต้องชำระต่อสหกรณ์อาจลาออกได้โดยแสดงความจำนงเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการฯ ได้ ดังนั้น เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมยังไม่ระงับไป และโจทก์ไม่ยอมชำระหนี้ที่มีต่อจำเลย ถือว่าโจทก์และนายประสิทธิ์ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิลาออกจากสมาชิกของจำเลยและขอถอนเงินค่าหุ้นออกจากสหกรณ์จำเลยได้ โจทก์จึงยังไม่อาจฟ้องจำเลยให้คืนเงินค่าหุ้นแก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ