โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 264, 265, 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 (เดิม), 265 (ใหม่), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม), 265 (ใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 162 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 81 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ต่อมาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ 30 วัน โดยอ้างเหตุว่าจำเลยเจ็บป่วยกะทันหันและถูกกักตัวเป็นเวลา 14 วัน อันเป็นเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้และเป็นเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีมีเหตุสุดวิสัย อนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากนั้นจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีก 2 ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 27 เมษายน 2564 และวันดังกล่าวจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ เห็นว่า การขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นการขอขยายระยะเวลาตาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและศาลมีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้เฉพาะเมื่อมีเหตุสุดวิสัย ตามคำร้องดังกล่าวจำเลยอ้างเหตุว่าจำเลยเจ็บป่วยกะทันหันและถูกกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ได้ คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 และอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีก 2 ครั้ง ตามคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 และวันที่ 25 มีนาคม 2564 จึงไม่ชอบ จำเลยไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยฟัง ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ดังนั้น การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ซึ่งล่วงเลยกำหนดยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อสิทธิให้แก่จำเลยที่จะฎีกา
อนึ่ง เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ แต่ใบโปรโมชั่นที่จำเลยปลอม เป็นเพียงเอกสารที่ให้ห้างโฮมโปรใช้เพื่อคำนวณเงินส่วนลดหรือส่วนชดเชยแต่ละช่วงเวลาที่ห้างโฮมโปรขายสินค้าของโจทก์ให้แก่ลูกค้าแล้วนำไปหักทอนกับเงินค่าสินค้าที่โจทก์จำหน่ายให้แก่ห้างโฮมโปร หาเป็นเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิไม่ การที่จำเลยปลอมและใช้เอกสารดังกล่าวจึงเป็นการปลอมและใช้เอกสารธรรมดา มิใช่เป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ โดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน แต่กฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยสำหรับความผิดที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 21 มีนาคม 2560
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 กับยกอุทธรณ์และฎีกาของจำเลย และแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคหนึ่ง (เดิม), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (เดิม) สำหรับความผิดตามฟ้องข้อ 2.1 และมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (ใหม่), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (ใหม่) สำหรับความผิดตามฟ้องข้อ 2.2 ถึงข้อ 2.27 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (เดิม) และมาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (ใหม่) ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 81 เดือน เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 40 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น