โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลขณะฟ้องคดีและไม่ได้อธิบายการกระทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้นั้น เห็นว่า จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสอง หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ทำคำพิพากษาแล้วเสร็จในวันที่ 29 ธันวาคม 2549 แต่ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 วันที่ 17 พฤษภาคม 2550 เป็นการนัดอ่านคำพิพากษาล่าช้าไปถึง 139 วัน ซึ่งเกินกว่า 3 วัน และศาลชั้นต้นไม่ได้จดรายงานเหตุไว้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสอง บัญญัติว่า "ให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งในศาลโดยเปิดเผยในวันเสร็จการพิจารณาหรือภายในเวลาสามวันนับแต่เสร็จคดี ถ้ามีเหตุอันสมควร จะเลื่อนไปอ่านวันอื่นก็ได้ แต่ต้องจดรายงานเหตุนั้นไว้" มาตรา 215 บัญญัติว่า "นอกจากที่บัญญัติมาแล้ว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลม" และมาตรา 209 บัญญัติว่า "ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยมิชักช้าและจะอ่านคำพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์หรือส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านก็ได้" ดังนี้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ของศาลชั้นต้นจึงต้องนำมาตรา 182 วรรคสอง มาใช้โดยอนุโลม เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านแทนศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2550 ประกอบกับจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องหมายนัดโจทก์ จำเลยและนายประกันมาฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2550 แม้จะเกินกว่า 3 วัน และไม่ได้จดรายงานเหตุไว้นั้น ก็เป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 ประกอบมาตรา 225 แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน