โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 5 เป็นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมิน ต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยเนื่องจากโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์ไปในฐานะตัวแทนของบริษัทสินมั่นคงคอนโดเฮ้าส์ จำกัด โจทก์มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,126,760บาท จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 33,802.80 บาท เท่านั้น แต่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม121,772 บาท จึงเป็นการเรียกให้ชำระเกินไป 87,971.49 บาท โจทก์ไม่จำต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม เพราะโจทก์ยังมิได้รับทราบหรือได้รับแจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ไปยื่นคำขอเพื่อชำระภาษีธุรกิจเฉพาะและโจทก์มิได้เจตนาไม่ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะในการขายแต่ละครั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้หักภาษีรายได้ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงเชื่อได้โดยสุจริตว่าได้ชำระภาษีครบถ้วน เมื่อโจทก์ทราบว่าโจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์ยอมชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ 33,802.80 บาท โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ แต่เจ้าพนักงานไม่ยอมรับโดยอ้างว่าต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เฉพาะส่วนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 87,971.49 บาท
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ขายที่ดินจำนวน 3 แปลง รวมเป็นเงิน 1,126,760บาท ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอัตราร้อยละ 3 เป็นเงิน 33,802.80 บาท โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายในกำหนดเวลาจึงต้องเสียเบี้ยปรับจำนวน 2 เท่าของภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89, 91/21(6) เป็นเงิน 67,605.60 บาท โจทก์ไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาจึงต้องเสียเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 89/1, 91/21(6) คำนวณถึงวันที่ 15 มกราคม 2543 เป็นเงิน 9,295.50 บาท และต้องเสียภาษีส่วนท้องถิ่นร้อยละ10 ของภาษีรวมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน 11,070.39 บาท รวมภาษี เบี้ยปรับเงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นเป็นเงิน 121,774.29 บาท โจทก์ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ย่อมต้องทราบว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ที่กระทำภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้มา จะเข้าข่ายเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3 ของรายรับและเป็นหน้าที่ผู้ขายต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปไม่ต้องรอให้เจ้าพนักงานสรรพากรแจ้งเป็นหนังสือ โจทก์ไม่เคยนำเงิน 33,802.80 บาทไปชำระแต่อย่างใด โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "...โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทสินมั่นคงคอนโดเฮ้าส์ จำกัด บริษัทดังกล่าวโอนห้องชุดให้โจทก์ครั้งละ 10 ถึง 20 ห้อง เพื่อนำไปขายบุคคลภายนอกที่จะได้รับสินเชื่อจากธนาคาร เมื่อขายได้โจทก์จะได้ค่าตอบแทนห้องละ 3,000 ถึง 5,000 บาท เป็นการขายให้ฐานะตัวแทนบริษัท รายได้จากการขายเป็นของบริษัท โจทก์มิใช่ผู้มีรายได้จากการขายจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ การประเมินให้โจทก์เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจึงไม่ชอบ พิเคราะห์แล้ว แม้ฟ้องโจทก์ตอนต้นจะบรรยายว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์ในฐานะตัวแทนของบริษัท เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า โจทก์มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,126,760บาท จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 33,802.80 บาท เท่านั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นเงิน 121,772 บาท นั้น โจทก์ไม่เห็นด้วยเพราะโจทก์ไม่จำเป็นต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 87,971.49 บาท และโจทก์ได้บรรยายฟ้องตอนท้ายว่า โจทก์ยอมชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ 33,802.80 บาท โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะส่วนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 87,971.49 บาท แม้ศาลภาษีอากรกลางจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า การประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็หมายถึงการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะเรื่องเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเท่านั้น หาได้มีความหมายถึงตัวค่าภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลางต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์อุทธรณ์ข้อหลังว่า โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีหรือไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน ประกอบกับปัจจุบันกฎหมายได้ลดภาษีธุรกิจเฉพาะลงเหลือเพียงร้อยละ 0.11 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2543 จึงมีเหตุสมควรลดเบี้ยปรับแก่โจทก์ เห็นว่า ตามสำเนาโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาขายที่ดินแผ่นที่ 1ถึง 6 สำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดและหนังสือสัญญาขายที่ดินที่ตั้งห้องชุดแผ่นที่ 3ถึง 7 ปรากฏว่าโจทก์ซื้อที่ดินรับโอนที่ดินและห้องชุดจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่บริษัทสินมั่นคงคอนโดเฮ้าส์ จำกัด ดังที่โจทก์กล่าวอ้างและนำสืบ แล้วโจทก์ขายที่ดินและห้องชุดนั้นแก่ผู้ซื้อภายใน 5 ปี นับแต่วันได้มาอันเป็นการขายที่เป็นการค้าหรือหากำไรต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เมื่อโจทก์ไม่เสียภายในกำหนดจึงรับผิดในเบี้ยปรับและเงินเพิ่มด้วยหลังจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ตรวจพบว่าโจทก์ไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนจึงได้ออกหมายเรียกให้โจทก์ไปพบ โจทก์ไปให้การว่า โจทก์เป็นพนักงานขายของบริษัทสินมั่นคงคอนโดเฮ้าส์ จำกัด ได้ค่าตอบแทนการขายเพียงรายละ 5,000 บาท เป็นการบ่ายเบี่ยงเพื่อไม่ต้องชำระภาษีมิใช่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน แต่ปรากฏว่าต่อมามีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร(ฉบับที่ 366) พ.ศ. 2543 ให้ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะในเรื่องนี้ลงเหลือร้อยละ 0.1จึงเห็นสมควรลดเบี้ยปรับลงร้อยละ 50 คงเหลือเบี้ยปรับเป็นเงิน 33,802.80 บาทอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเลขที่ 05111040/6/100009 ถึง 100013 ลงวันที่ 10 มกราคม 2543 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สป.1/06/2543 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2543 โดยให้ลดเบี้ยปรับลงร้อยละ 50 คงเหลือเบี้ยปรับเป็นเงิน 33,802.80 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง