โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 2,000,000 บาท เมื่อครบกำหนดจำเลยผิดสัญญาขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,425,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าสัญญากู้ยืมเงินรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายหรือไม่ ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า "ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้..." คดีนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2543 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเนื่องจากสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานมิได้ปิดอากรแสตมป์ วันที่ 9 สิงหาคม 2544 โจทก์ยื่นคำร้องขอปิดแสตมป์ในสัญญากู้ยืมเงิน ศาลชั้นต้นอนุญาต วันที่ 15 มีนาคม 2545 กรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งว่าโจทก์ดำเนินการปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรแล้ว เห็นว่า แม้โจทก์จะได้ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้ยืมเงินครบถ้วนแล้ว และประมวลรัษฎากร มาตรา 117 ให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ แต่การปิดแสตมป์นั้นโจทก์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะนำสัญญากู้ยืมเงินมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาด เมื่อโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปปิดอากรแสตมป์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว สัญญากู้ยืมเงินย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้มิได้ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ถือได้ว่าโจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน