โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,462,467.12 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,402,295 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงิน 128,370 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 128,370 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ5,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 802,295 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบในเหตุเพลิงไหม้รถของโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามที่โจทก์นำสืบตรงกับข้อนำสืบของจำเลยว่า รถของโจทก์มีปัญหาเรื่องปั๊มไฮดรอลิกรั่วและได้ส่งให้จำเลยซ่อมแล้ว ซึ่งทำการซ่อมโดยใช้กาวและผ้าเทปพันอุดไว้เมื่อโจทก์นำรถไปใช้งานก็เกิดปัญหาความร้อนของเครื่องยนต์สูงตลอดจนมีการรั่วซึมอีก ฝ่ายโจทก์ได้ติดต่อฝ่ายจำเลยส่งช่างมาตรวจแล้ว ช่างของจำเลยได้ยืนยันว่ารถของโจทก์ยังสามารถใช้ทำงานได้โดยการรั่วซึมของปั๊มไฮดรอลิกนั้น จะก่อปัญหาให้ทำงานช้าลงเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ชี้ชัดถึงการทำงานของช่างฝ่ายจำเลยทำการซ่อมปั๊มไฮดรอลิกให้แก่โจทก์ครั้งแรกโดยใช้วิธีทากาวและพันผ้าเทป ซึ่งเป็นวิธีการชั่วคราวที่ไม่รับผิดชอบ เรียกได้ว่าแบบสุกเอาเผากินครั้นเมื่อรับแจ้งจากฝ่ายโจทก์ถึงปัญหาในวันต่อมา หลังจากโจทก์รับรถไปใช้งานแล้วนั้นฝ่ายจำเลยก็ยังคงยืนกรานรับรองกับโจทก์ให้ใช้รถดังกล่าวทำงานต่อไปอีก ทั้ง ๆ ที่เกิดปัญหาเครื่องยนต์ความร้อนสูงและมีการรั่วซึมของปั๊มไฮดรอลิกนั้นอีก ถือได้ว่าเป็นคำรับรองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความประมาทไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเช้าวันเกิดเหตุ โจทก์ได้ตามช่างของฝ่ายจำเลยไปตรวจดูอีกครั้งแล้ว หลังจากช่างของจำเลยกลับไปเพียงเล็กน้อยก็เกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นข้อเท็จจริงที่ชี้ชัดถึงความระมัดระวังของโจทก์ในการตามช่างของจำเลยมาตรวจดู แต่ช่างของจำเลยเป็นฝ่ายที่ยืนยันรับรอง เป็นเหตุให้ฝ่ายโจทก์ใช้รถทำงานต่อจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ อันสืบเนื่องจากสาเหตุการรั่วของปั๊มไฮดรอลิกที่รุนแรงขึ้น จากสภาพการฝืนใช้งานตามคำยืนยันของช่างฝ่ายของจำเลย การรั่วซึมของน้ำมันไฮดรอลิกที่รุนแรงมากขึ้นดังกล่าว เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้น้ำมันไฮดรอลิกพุ่งไปกระทบความร้อนสูงของเครื่องยนต์ เป็นผลให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น และเกิดความเสียหายที่ปรากฏ นับได้ว่าเหตุเกิดจากความประมาทขาดความรับผิดชอบ ขาดสำนึกในความปลอดภัยในการซ่อมแต่แรกเป็นปฐมต่อเนื่องด้วยความประมาท ขาดสำนึกในความปลอดภัยในการแนะนำให้โจทก์ฝืนใช้รถต่อไปทั้ง ๆ ที่เกิดปัญหาเครื่องยนต์มีความร้อนสูงและเกิดการรั่วซึมของปั๊มไฮดรอลิกที่จำเลยซ่อมด้วยวิธีชั่วคราวดังกล่าวนั้นอีก เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ในที่สุด ข้อเท็จจริงของจำเลยที่พยายามนำสืบว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจากการถูกกระแทกที่ปั๊มไฮดรอลิก โดยอ้างรอยบุว่าเป็นรอยถูกชนกระแทกนั้น นอกจากจะเป็นเพียงการคาดเดาเอาเองแล้ว ยังปราศจากพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักพอที่จะชี้ให้เห็นว่ามีการชนกระแทกเกิดขึ้นก่อนการลุกไหม้นั้น อันจะเป็นการหักล้างข้อนำสืบของโจทก์ที่ยืนยันว่าหลังจากเกิดเพลิงไหม้แล้ว เพื่อประโยชน์ในการดับเพลิงได้ใช้ปุ้งกี๋ของรถขุดอีกคันหนึ่งมาช่วยดึงฝาปิดเครื่องยนต์ออก เพื่อใช้ดินกลบการลุกไหม้นั้น ดังนี้ ร่องรอยที่เกิดจึงเกิดขึ้นภายหลังเพลิงลุกไหม้แล้วหาใช่เกิดขึ้นก่อนและเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดเพลิงลุกไหม้ดังที่จำเลยพยายามแก้ตัวไม่ความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจึงตกแก่จำเลยชัดแจ้งดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดถูกต้องแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องรับผิดชำระค่าซ่อมรถของโจทก์เป็นเงิน128,370 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้งตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา เพราะเป็นการซ่อมที่ฝ่ายโจทก์ได้รู้เห็นและยอมรับแล้วนั้น เห็นว่า ตามฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งการพิจารณาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาว่าจะฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องพิจารณาส่วนของฟ้องแย้งแยกต่างหากจากส่วนของฟ้องเดิม เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนของฟ้องแย้งไม่เกิน 200,000 บาท ย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย"
พิพากษายืน สำหรับฎีกาจำเลยในส่วนของฟ้องเดิม ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนโจทก์ ให้ยกฎีกาจำเลยในส่วนของฟ้องแย้ง ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนของฟ้องแย้งจำเลยมิได้เสียมาด้วย จึงไม่จำต้องสั่งคืน